NFT Art ช่องทางหาเงินใหม่ของสาย Graphic Designer | Techsauce
NFT Art ช่องทางหาเงินใหม่ของสาย Graphic Designer

มีนาคม 10, 2022 | By Siramol Jiraporn

Amy Kilner เป็นหนึ่งในคนที่มีอาชีพเป็น Graphic Designer มาแล้วประมาณ 10 ปี โดยมีหน้าที่สร้างออกแบบสำหรับงานอีเวนต์และโปรเจกต์อื่นๆ 

แต่เมื่อเกิดโรคระบาดใหญ่ในปี 2020 งานต่างๆ ก็ถูกยกเลิกและงดไม่ให้จัด Kilner จึงต้องหางานที่อื่นทำ และเริ่มลองใช้เอเจนซี่ หลังจากนั้นเธอก็ได้เริ่มออกแบบ 3D

NFT Art

ในปี 2021 เป็นปีที่เธอได้ยินคำว่า NFT จากลูกค้าเป็นครั้งแรก และเริ่มรู้สึกได้ว่าความต้องการการออกแบบด้านนี้กำลังเป็นที่ต้องการ 

“เราเริ่มออกแบบ 3D เมื่อสองปีที่แล้ว แต่เมื่อปีที่แล้วลูกค้ามาถามเราว่าทำ NFT Art ได้มั้ย หลังจากนั้นเราก็เริ่มค้นคว้าเรื่องนี้ และค่อยๆ เข้าไปอยู่ในโลกของการสร้าง NFT Art มากขึ้นเรื่อยๆ” Kilner กล่าว

NFT หรือ Non-fungible token เป็นสินทรัพย์เสมือนจริงรูปแบบใหม่ที่อาจกลายมาเป็นอนาคตของศิลปะหรือการเก็งกำไร เรียกง่ายๆ ว่าเป็นศิลปะดิจิทัล เมื่อไม่นานมานี้จู่ๆ ความต้องการดิจิทัลก็เพิ่มมากขึ้น ลองนึกภาพสินค้าที่มีอยู่ในโลก แต่ผู้คนกลับอยากได้สิ่งนั้นในรุ่นของดิจิทัลขึ้นมา เช่น กระเป๋า Gucci ดิจิทัล รถยนต์ดิจิทัล

NFT มีข้อแม้อย่างหนึ่งคือ เราไม่สามารถการันตีได้ว่าจะไม่มีใครคัดลอกผลงานนั้นๆ เพราะเป็นโลกศิลปะที่ไร้ลิขสิทธิ์ แต่ถึงแม้จะมีความเสี่ยงในเรื่องนี้ ผู้คนก็ยังยินดีที่จะจ่ายเงินแพงๆ ให้กับศิลปิน NFT 

ในช่วงต้นปี 2022 นี้ Kilner จึงเริ่มมุ่งเน้นไปที่ NFT Art มากขึ้น แต่ก็ยังคงทำงานออกแบบกราฟิกแบบเดิมอยู่บ้าง NFT Art ทำให้รายได้ของเธอพุ่งเมื่อเทียบกับงานทั่วไปที่ทำ โดยในสองเดือนเธอมีรายได้ 10,000 ปอนด์ (ประมาณ 400,000 กว่าบาท) และเธอมีเป้าหมายว่าจะสร้างรายได้ 20,000 ปอนด์ต่อเดือนให้ได้

โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่จ้าง Kilner จะเป็นแบรนด์ต่างๆ เช่น Warner, Defected Records และ Third Web และเงินที่ได้เป็นเงินจริงๆ ไม่ใช่เงินดิจิทัลแต่อย่างใด

นอกจากนี้เธอยังสร้าง NFT เพื่อขายเองโดยตรง โดย Kilner ใช้ Foundation ซึ่งเป็นตลาดกลางของ NFT มีค่าใช้จ่ายประมาณ 200 ปอนด์ ในการนำงานศิลปะเข้าสู่บล็อกเชนของ Ethereum ทำให้เธอสามารถทำเงินได้ไม่น้อยเลย เพราะศิลปินสามารถกำหนดราคาได้สูง

ฝึกออกแบบ 3D ด้วยตัวเอง

Kilner ลงทุนในการเพิ่มทักษะการสร้างงานศิลปะ 3D สูงถึง 4,000 ปอนด์ (ประมาณ 160,000 บาทกว่าๆ) โดยโปรแกรมทั้งหมดที่ใช้จะเป็น Adobe Creative Suite และใช้ Cinema 4D เป็นโปรแกรม 3D หลัก นอกจากนี้ยังใช้ Marvelous Designer ซึ่งสามารถสร้างสินค้าแฟชั่นได้ และใช้ Redshift ในการจัดแสงและทำให้งานออกมาดูดี

โดยศิลปินส่วนใหญ่ก็ฝึกออกแบบ 3D ด้วยตัวเอง อีกทั้งชุมชนของคนที่ออกแบบ 3D และ NFT ก็จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และคำแนะนำให้แก่กันและกัน 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาอย่างหนึ่งที่ศิลปินต้องเผชิญคือผู้ซื้อลึกลับที่ทำทีเป็นว่ามาซื้องานอยู่ดีๆ ก็หายไป แต่ Kilner ก็เชื่อว่าในอนาคตจะมีกฎระเบียบมากขึ้น 

ความต้องการดิจิทัลในปัจจุบันทำให้ Graphic Designer มีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น อีกทั้งหาก Graphic Designer พัฒนาทักษะด้านการออกแบบ 3D ได้ก็จะทำให้มีช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

อ้างอิง Business Insider

No comment