Design Thinking : สุดยอดเครื่องมือเพื่อนวัตกรรม หรือแค่เหล้าเก่าในขวดใหม่ | Techsauce

Design Thinking : สุดยอดเครื่องมือเพื่อนวัตกรรม หรือแค่เหล้าเก่าในขวดใหม่

เอาเข้าจริงแล้วแทนที่เครื่องมือทางความคิดอันเลื่องชื่อนี้จะนำเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมเพื่อสังคม มันกลับทำหน้าที่ตรงกันข้าม โดยกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อปกป้องรักษาสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นตัวฉุดรั้งความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเสียเอง

NOCTILUXX/GETTY IMAGES

ทุกวันนี้กระแสความนิยมที่มีต่อแนวคิด design thinking หรือการคิดเชิงออกแบบได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง แนวคิดนี้สร้างความตื่นตัวให้หลายองค์กร ทั้งบริษัท มหาวิทยาลัย ไปจนถึงภาครัฐต่างนำ design thinking ไปศึกษาและมุ่งใช้เป็นเครื่องมือออกแบบนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อน

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นดีเห็นงามกับ design thinking เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น โดยเฉพาะในบทความ Design Thinking Is Fundamentally Conservative and Preserves the Status Quo ของ Natasha Iskander จาก Harvard Business Review ที่ตั้งคำถามว่าเอาเข้าจริงแล้วแทนที่เครื่องมือทางความคิดอันเลื่องชื่อนี้จะนำเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมเพื่อสังคม มันกลับทำหน้าที่ตรงกันข้าม โดยกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อปกป้องรักษาสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นตัวฉุดรั้งความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเสียเอง

เหล้าเก่าในขวดใหม่

ย้อนหลังกลับไปในช่วงยุค 1970 ถึง 1980 มีแนวคิดเพื่อการแก้ปัญหาที่โด่งดังมาก  เรียกว่า Rational-Experimental หรือการทดลองอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นการนำวิธีทางวิทยาศาสตร์มาลดทอนให้เรียบง่ายและทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น หลายๆ บริษัทรวมถึงภาครัฐต่างรับเอาแนวคิดนี้ไปใช้เปลี่ยนแปลงแนวทางการปฏิบัติในองค์กร ซึ่งหากพิจารณาในส่วนของกระบวนการ แนวคิดแบบ design thinking มีความละม้ายคล้ายคลึงกับ rational-experimental เป็นอย่างมาก จะแตกต่างกันไปเพียงชื่อที่ใช้เรียกขั้นตอนในกระบวนการต่างๆ และวิธีคิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปัญหาสำคัญของแนวคิดทั้งสองแบบคือการที่มันให้อภิสิทธิ์กับนักออกแบบมากเกินไป เช่นในกระบวนการแบบ design thinking ถึงแม้ตัวมันเองจะบอกว่าการนิยามปัญหาต่างๆ นั้นได้ใช้ “ผู้ที่ได้รับผลกระทบ” เป็นศูนย์กลาง นักออกแบบมีหน้าที่ “เข้าอกเข้าใจ” ในปัญหาของพวกเขา ถึงกระนั้นก็ดีในการตีความปัญหาทั้งหมดก็อยู่ในกรอบประสบการณ์อันจำกัดของนักออกแบบ และตัวของนักออกแบบเองต่างหากคือศูนย์กลางที่แท้จริง เป็นผู้ผูกขาดการตัดสินว่าอะไรบ้างที่ใช่และไม่ใช่ส่วนสำคัญในการออกแบบ

วัฒนธรรมที่เกิดจากกระบวนการของ design thinking ทำให้คนทั่วไปถูกผลักออกจากการมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบถูกยกให้กับผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ มากเสียยิ่งกว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการออกแบบจริงๆ เสียอีก แต่ในทางการเมืองที่สัมพันธ์กับการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น ระบบที่ไม่เปิดกว้างของ design thinking ไม่ได้เสนอทางออกที่ดีที่สุด แต่หลายครั้งมันคือทางออกที่ถูกใจกลุ่มผู้มีอำนาจ หรือเป็นเพียงการเสนอทางออกที่ขัดแย้งกับระบบระเบียบเดิมของสังคมให้น้อยที่สุด

ผลลัพธ์ที่ได้จากกระบวนการ design thinking จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เหมือนจะเป็นสิ่งใหม่ แต่อันที่จริงแล้วโดยภาพใหญ่กลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แสดงให้เห็นถึงการเป็นอุปสรรคต่อการเกิดนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างแท้จริง

Design Thinking กับข้อจำกัดในการแก้ปัญหา

เมื่อรัฐบาลของ บารัค โอบามา ได้ทำแคมเปญ Rebuild by Design เพื่อจัดการแข่งขันการออกแบบหาวิธีการแก้ปัญหาภัยพิบัติในอนาคต หลังจากที่สหรัฐฯ ถูกพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้พัดถล่มสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โปรเจกต์ the Big U ที่ได้รับรางวัลได้เสนอสร้างกำแพงกั้นที่มีความยาวกว่า 10 ไมล์ เพื่อป้องกันพื้นที่ในเขตตอนล่างของแมนฮัตตันและพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์สูง

แต่จากการประมาณการโดยวัดจากผลกระทบของพายุและการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลบ่งบอกว่ากำแพงจะสามารถทำหน้าที่ปกป้องเมืองได้ถึงปี 2050 เท่านั้น หลังจากนั้นมันจะเปลี่ยนจากป้อมปราการเป็นอ่างน้ำขนาดยักษ์ กักน้ำให้ท่วมขังภายในเมือง

นอกจากนั้น กำแพงยักษ์ยังจะส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างรวดเร็วในพื้นที่บริเวณนั้น ก่อผลกระทบสืบเนื่องมายังกลุ่มคนชนชั้นล่างไปจนถึงชนชั้นกลางทางเศรษฐกิจที่จะถูกกีดกันออกจากพื้นที่ใจกลางเมืองที่มีมูลค่าสูงขึ้นอีกด้วย เห็นได้ว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลอย่างกำแพงยักษ์นั้นนอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว ยังเป็นการออกแบบที่สร้างผลกระทบทางลบให้กับคนในพื้นที่

นี่จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงข้อจำกัดของกระบวนการ design thinking คือการที่ระบบคิดนี้ไม่อาจมอบทางออกของปัญหาที่ดีที่สุดในเชิงนวัตกรรมได้ เพราะมันมองไม่เห็นปัญหาทั้งหมด และยังติดอยู่กับการรักษาทิศทางของระบบระเบียบเดิมจนฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ

ทางออกคือการเปิดกว้างสำหรับทางเลือกที่หลากหลาย

เราอาจเห็นทางออกได้จากอีกโปรเจกต์ที่เกิดขึ้นจากแคมเปญ Rebuild by Design อย่าง Living Breakwaters ที่มีข้อเสนอสร้าง “necklace” หรือแนวกั้นคลื่นรอบเกาะเล็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะของน้ำทะเล ซึ่งนอกจากจะเป็นการป้องกันพื้นที่ แนวกั้นที่สร้างขึ้นยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลของสิ่งมีชีวิตบริเวณเกาะนั้นๆ ส่งผลบวกต่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่และสิ่งมีชีวิตในทะเล ไปจนถึงประโยชน์ด้านการศึกษาและเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับระบบนิเวศ ข้อเสนอของโปรเจกต์นี้เป็นการเรียนรู้จากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น และหาความเป็นไปได้ในการสร้างระบบนิเวศใหม่ในอนาคตแทนที่จะต่อต้านกับภัยธรรมชาติตรงๆ ซึ่งเป็นสงครามที่มนุษย์ไม่เคยชนะ

ในโปรเจกต์ Breakwaters ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการช่วยกำหนดการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่การเป็นผู้ส่ง feedback ให้กับนักออกแบบเท่านั้น นักออกแบบไม่ใช่ผู้มีอภิสิทธิ์สูงสุดในการตีความปัญหาและกำหนดวิธีการแก้ปัญหาอีกต่อไป โปรเจกต์นี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความท้าทายต่อกระบวนการที่ปิด และก้าวข้ามข้อจำกัดของ design thinking

นี่คือวิธีที่เรียกว่าการทำให้เกิด “การมีส่วนร่วมในการตีความ” ทำให้การออกแบบการแก้ปัญหามีความเปิดกว้างมากขึ้น การตัดสินใจไม่ถูกผูกขาดโดยผู้ที่เรียกตัวเองว่านักออกแบบ ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นวิธีที่เรียบง่ายไม่มีอุปสรรค มันอาจจะก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงและความตึงเครียดต่างๆ ตามมา แต่มันคือหนทางที่จะนำไปสู่ความเป็นไปได้ในการเกิดนวัตกรรมที่แท้จริง เพราะปัจจัยที่สำคัญคือการเปิดให้ผู้ที่มีผลกระทบโดยตรงเข้ามามีส่วนในการตีความปัญหาและเสนอวิธีแก้ไข เพราะลำพังแค่กระบวนการของ design thinking ไม่อาจทำให้นักออกแบบสามารถรับมือกับปัญหาอีกมากมายที่ไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการถึงมันได้

 

เรียบเรียงข้อมูลจากบทความ Design Thinking Is Fundamentally Conservative and Preserves the Status Quo โดย Natasha Iskander

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอด 4 บทเรียนธุรกิจ Taylor Swift ชื่อศิลปินที่มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

Taylor Swift ไม่ใช่แค่ของชื่อศิลปินอีกแล้ว กลายเป็น Branding ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ความสำเร็จของ Taylor Swift ก็มีส่วนที่หยิบมาใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจได้เช่นเดียวกัน...

Responsive image

“อยากได้อะไร ก็แค่พูดตรงๆ” เคล็ดลับความสำเร็จจาก Sam Altman

Sam Altman CEO ของ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT แนะนำ วิธีช่วยให้คุณได้ในสิ่งต้องการ และทำได้ง่ายๆ...

Responsive image

มรดกแนวคิด Steve Jobs ที่ส่งต่อถึง Tim Cook เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของ Apple

Tim Cook ยกหนึ่งคำสอนล้ำค่าในการทำงานจาก Steve Job ที่ทำให้ Apple เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลก ในด้านการส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กร นั่นก็คือ ‘ทุกคนสามารถสร้าง...