ศัตรูอันดับหนึ่งของการเป็นผู้นำที่ดี คือ ‘อีโก้’ | Techsauce

ศัตรูอันดับหนึ่งของการเป็นผู้นำที่ดี คือ ‘อีโก้’

บทความนี้แปลจาก บทความของ Rasmus Hougaard และ Jacqueline Carter บน Harvard Business Review

เรื่องเล่าของ Cees ’t Hart ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Carlsberg Group ในวันแรกที่เขาเข้าทำงาน เขาได้รับ key card ห้องทำงานส่วนตัวบนชั้น 20 โดยสามารถใช้ลิฟท์คนเดียวแบบไม่จอดแวะชั้นไหนเลย ออฟฟิศของเขาหรูหราและมองออกไปเห็นวิวเมืองโคเปนเฮเกน ถือเป็นเครื่องแสดงความสำคัญของเขาต่อบริษัทและตำแหน่งใหม่ที่เขาได้รับ

Cees พยายามปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมใหม่อยู่กว่า 2 เดือน แต่ระหว่าง 2 เดือนนั้น เขาสังเกตว่าเขาไม่ค่อยได้เจอใครเท่าไหร่ในหนึ่งวัน เพราะว่าลิฟท์ที่ใช้มันไม่หยุดที่ชั้นไหนเลย แถมพนักงานระดับหัวหน้าที่ทำงานบนชั้น 20 เช่นเดียวกับเขาก็มีอยู่ไม่กี่คน ซึ่งทำให้เขาไม่ค่อยได้พูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานคนอื่นๆ ใน Carlsberg เลย หลังจากที่รู้สึกแบบนี้อยู่สักพัก Cees ก็ตัดสินใจเปลี่ยนที่นั่งทำงานไปนั่งบริเวณชั้นล่างที่เปิดโล่งแทน

เขาอธิบายว่า “ถ้าผมไม่ได้เจอพนักงานเลย ผมคงไม่เข้าใจว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ และถ้าผมไม่รู้เลยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้าง ก็คงบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพไม่ได้”

เรื่องของ Cees เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่พยายามไม่ถูกครอบงำโดยตำแหน่งสูงสุดของบริษัทที่อาจนำพามาซึ่งความโดดเดี่ยว และความเสี่ยงที่เป็นปัญหาสำคัญของผู้นำในหลายองค์กร นั้นก็คือ ‘อีโก้’ ที่พุ่งสูงขึ้นตามตำแหน่ง

เมื่อผู้นำมีอีโก้มากขึ้น ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกทอดทิ้งอยู่บนหอคอย ไร้การสื่อสารกับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ หลุดออกจากวัฒนธรรมขององค์กรและแม้กระทั่งกับลูกค้า ในบทความนี้จะพาไปดูทีละข้อว่าทำไม 'อีโก้' ถึงจัดเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดสำหรับผู้นำองค์กร

ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน

เมื่อคุณอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจควบคุมคนได้ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่คนในทีมจะต้องพยายามฟังสิ่งที่คุณพูด และทำเหมือนเห็นด้วยกับคุณ และหัวเราะให้กับมุกที่อาจจะไม่ได้ตลกอะไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ไปกระตุ้นต่อมอีโก้ให้เติบโต

David Owen อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษและนักประสาทวิทยา และ Janothan Davidson ศาสตราจารย์วิชาจิตเวชศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ประจำ Duke University เรียกอาการนี้ว่า “hubris syndrome” ที่หมายถึง “ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการครอบครองอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจที่เชื่อมโยงกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาหลายปี”

ขณะที่ Jennifer Woo CEO และประธานบริษัท The Lane Crawford Joyce Group กล่าวว่า “การจัดการกับอีโก้ของตัวเองคือความรับผิดชอบอันดับแรกๆ ของผู้นำทุกคน” เนื่องจากอีโก้มักมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและเข้ามาบดบังวิสัยทัศน์ ทำให้เราทำพลาดหรือทำสิ่งที่ตรงข้ามกับคุณค่าและความตั้งใจที่แท้จริง

อีโก้ = เป้าที่ง่ายต่อการถูกโจมตี

อีโก้ที่เราแบกอยู่ก็เหมือนเป็นเป้าให้คนอื่นยิง ยิ่งเป้าใหญ่ ยิ่งมีสิทธิโดนยิงเข้าเป้ามากเท่านั้น หมายความว่า คนอื่นๆ จะสามารถเอาเปรียบคนที่มีอีโก้สูงได้ง่าย เพราะคนเหล่านี้มักเรียกร้องแต่ความสนใจในทางบวก และมีพฤติกรรมที่คาดเดาได้ง่าย ซึ่งเมื่อคู่แข่งจับทางได้ ก็จะสามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อเล่นงานได้ง่ายขึ้น

เมื่อใดที่เราเป็นเหยื่อของความคิดที่ต้องการเป็นที่ยอมรับ และการเป็นใหญ่ เราจะจบลงด้วยการถูกชักจูงสู่การตัดสินใจที่อาจเป็นอันตรายต่อตัวเอง คนในทีม และตัวองค์กร

พฤติกรรมเปลี่ยน

หากเรามีความเชื่อว่าเราคือผู้สร้างความสำเร็จ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เรากลายเป็นคนหยาบคาย เห็นแก่ตัว และเป็นภาระทางจิตใจต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้และการวิพากษ์วิจารณ์ที่รับไม่ได้ เพราะอีโก้ที่สูงเสียดฟ้าจะทำให้เราไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดและมักสร้างข้อแก้ตัวอยู่ตลอด

และสุดท้าย อีโก้ทำให้เรามีวิสัยทัศน์ที่แคบลง เพราะมัวแต่มองหาแค่ความเห็นที่ตรงกับสิ่งที่อยากได้ยินเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียมุมมองที่รอบด้านและกลายเป็นคนไม่รับฟังคนรอบข้าง

Tips สู่การละทิ้งอีโก้

การพยายามละทิ้งอีโก้คือสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามสูง เพราะต้องอาศัยความกล้าที่จะถอดหัวโขน เสียสละ และหันมามองตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งมี tips เล็กๆ น้อยๆ ที่อาจช่วยได้

  • พยายามนึกถึงข้อดีและสิทธิพิเศษที่คุณได้รับจากตำแหน่งหน้าที่ของคุณ บางอย่างช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่มันจะมีบางอย่าง ที่แค่มีเพื่อเสริมสร้างอีโก้บนบ่าของคุณเท่านั้น ลองดูว่าสิ่งไหนที่คุณสามารถละทิ้งมันได้บ้าง เช่น ช่องจอดรถพิเศษ หรือ ลิฟท์ที่ไม่จอดชั้นไหนเลย
  • ให้การสนับสนุนและพัฒนาทีมที่ไม่ทำงานด้วยความประจบประแจง จ้างคนที่ฉลาดและกล้าแสดงความเห็น
  • ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความกตัญญูเป็นรากฐานของความเสียสละ พยายามนึกถึงสิ่งที่ผู้คนช่วยให้คุณประสบความสำเร็จอยู่เสมอ สิ่งนี้จะช่วยพัฒนาความอ่อนน้อมถ่อมตนและ หล่อหลอมความคิดว่าคุณไม่ได้ทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว

อ้างอิงภาพและเนื้อหา Harvard Business Review

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอด 4 บทเรียนธุรกิจ Taylor Swift ชื่อศิลปินที่มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

Taylor Swift ไม่ใช่แค่ของชื่อศิลปินอีกแล้ว กลายเป็น Branding ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ความสำเร็จของ Taylor Swift ก็มีส่วนที่หยิบมาใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจได้เช่นเดียวกัน...

Responsive image

“อยากได้อะไร ก็แค่พูดตรงๆ” เคล็ดลับความสำเร็จจาก Sam Altman

Sam Altman CEO ของ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT แนะนำ วิธีช่วยให้คุณได้ในสิ่งต้องการ และทำได้ง่ายๆ...

Responsive image

มรดกแนวคิด Steve Jobs ที่ส่งต่อถึง Tim Cook เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของ Apple

Tim Cook ยกหนึ่งคำสอนล้ำค่าในการทำงานจาก Steve Job ที่ทำให้ Apple เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลก ในด้านการส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กร นั่นก็คือ ‘ทุกคนสามารถสร้าง...