เจาะ Fintech Trend 2019 กับฐากร ปิยะพันธ์:Digital Lending มาแรง | Techsauce

เจาะ Fintech Trend 2019 กับฐากร ปิยะพันธ์:Digital Lending มาแรง

  • ความพร้อมทั้งด้าน e-KYC และ NDID ที่มาบรรจบกันผลักดัน Digital Lending Platform ให้เกิดขึ้นจริ
  • นวัตกรรมส่งเสริมให้ธุรกิจปล่อยกู้แข่งขันกันอย่างเสรีโดยไม่มีเรื่องขนาดของสถาบันการเงินเป็นข้อจำกัด
  • นอกจากเทคโนโลยีแล้วการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมและติดตามหนี้อย่างทันท่วงทีคือปัจจัยที่เอื้อให้ปล่อยกู้แบบดิจิทัลประสบความสำเร็จได้
  • พฤติกรรมกับโลกออนไลน์ สามารถนำมาวิเคราะห์ credit score เพื่อเช็คคะแนนความเสี่ยงที่จะเบี้ยวหนี้ได้



Digital Lending Platform ช่วยลดการเติบโตของเงินกู้นอกระบบและปลดล็อกความเหลื่อมล้ำของผู้เล่นในตลาดให้สินเชื่อ ซึ่งถูกขับเคลื่อนจากการมาบรรจบกันของ e-KYC และ NDID ในจังหวะเวลาที่ลงตัว จนพลิกโฉมการแข่งขันในธุรกิจการเงินให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากมุมมองของ ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิตอลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

Digital-Lending_Thakorn

ปัจจุบันรับผิดชอบภารกิจด้านในบ้าง

งานหลักที่ดูตอนนี้คือเป็นประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่ครอบคลุมทั้งบ้ตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคค และสินเชื่อผ่อนชำระสินค้า ที่มีฐานลูกค้ากว่า 8 ล้านราย อีกบทบาทหนึ่งคือดูในเรื่องของ Digital Banking และ Innovation ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ส่วนที่เพิ่งเริ่มเข้าไปช่วยดูด้านทิศทางของธุรกิจให้บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด (Krungsri Finnovate Co., Ltd.) ที่ทำด้านการลงทุนและบริหารจัดการ Startup นอกจากนี้ก็คือเป็นประธานชมรมบัตรเครดิตของสมาคมธนาคารไทยด้วย

มีมุมมองอย่างไรกับเรื่อง Digital Lending Platform

หลายสถาบันการเงินพยายามที่จะทำให้การปล่อยสินเชื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผลัดกันเรื่องสินเชื่อออนไลน์กันมาหลายปีแล้วแต่ยังไม่อาจเป็นจริงได้ แต่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าฝันที่เราตั้งหน้าตั้งตารอว่าจะไม่ต้องใช้กระดาษอีกแล้วจะเป็นจริงหรือ purely online น่าจะเกิดขึ้นจากการผลักดันในเรื่อง e-KYC หรือระบบการแสดงและยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม e-KYC เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าไม่สามารถทำให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพได้ เพราะมี requirement มากเกินไป ขณะที่ e-KYC ที่มาในเวอร์ชั่นใหม่และด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้ระบบ e-KYC สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องมี National Digital ID หรือ NDID (ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล) เพื่อให้ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัดเป็นตัวกลางเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลให้สามารถเชื่อมต่อและดึงข้อมูลจากหลาย ๆ ส่วนมายืนยันตัวตนของบุคคลได้ เช่นเดียวกับที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้สถาบันการเงินสามารถอนุมัติสินเชื่อโดยการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลหรือ Information Based Lending

หลังจากปีนี้ Lending Landscape จะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จะเกิดการแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบที่จะไม่มีเรื่องของขนาดผู้เล่นมาเป็นข้อจำกัดอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องของการสร้างสรรค์นวัตกรรมว่าใครจะทำได้ดีกว่า หรือใครจะสามารถเข้าไปอยู่ในเกมการตลาดนั้นได้

ปัจจัยใดที่สนับสนุนให้ Digital Lending Platform ประสบความสำเร็จ

ตามที่ผมเคยพูดเสมอคือ ใคร ๆ ก็ปล่อยกู้ได้ แต่ไม่ใช่จะได้หนี้คืนมาเสมอ เพราะการให้สินเชื่อจำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงและการติดตามทวงถามหนี้ที่ดีด้วย ซึ่งต้องพึ่งพาทีมงานและการเรียนรู้ค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่เพียงแค่ข้อมูลทางการเงินเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ credit score แต่ต่อไปจะมีข้อมูลอื่น ๆ มาช่วยให้สามารถตรวจสอบความเสี่ยงของผู้กู้ได้ดียิ่งขึ้น เช่น พฤติกรรมของลูกค้าบน Social Network การใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้บริการอื่น ๆ ทาง app เป็นต้น

ตอนปล่อยกู้วันนี้ลูกค้าทุกคนต่างก็ดีหมด แต่ความเสี่ยงจะเกิดต่อเมื่อผ่านไป 24 ถึง 48 เดือนแล้ว ดังนั้นจึงขึ้นกับว่าใครจะ monitor และบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเทคโนโลยีอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้คุณเอาตังก์คืนมาได้

เทคโนโลยีอะไรที่มีส่วนช่วยเรื่องการติดตามหนี้ให้มีประสิทธิภาพขึ้น

อาจจะยังไม่ถือเป็น platform โดยตรง แต่หลังจากมี Big Data และ AI ทำให้มีข้อมูลเชิงสถิติและกระบวนการที่ช่วยให้คาดการณ์ได้จากพฤติกรรมของผู้กู้ว่าหากเป็นรูปแบบนี้แล้วมีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้เสียได้ภายในเมื่อใด ซึ่งปัจจุบันด้วยระบบที่มีอยู่สามารถทำนายได้เร็วสุดในช่วงระยะ 6 เดือน แต่ถ้าเร็วขึ้นเป็น 3 เดือนจึงจะนับว่า predictive power สูงมาก

นอกจากนี้การเฝ้าสังเกตข้อมูลเครดิตบูโรก็มีส่วนช่วยให้การติดตามหนี้มีประสิทธิภาพได้เช่นกัน หรือจำเป็นต้องเปิดหูเปิดตาเรื่อย ๆ ว่าลูกค้าไปสร้างหนี้เพิ่มขึ้นกับสถาบันการเงินอื่นหรือไม่ ขณะที่รายได้ยังเท่าเดิม ซึ่งย่อมนับว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น

Big Data และ AI จะช่วยให้ปล่อยกู้และติดตามหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

หากนวัตกรรมช่วยให้ขอสินเชื่อได้สะดวกขึ้นแล้ว จะนำไปสู่การสร้างภาระหนี้สินเกินตัวหรือไม่

การก่อหนี้เกินตัวเป็นพฤติกรรมการใช้เงินของแต่ละคนที่ติดตัวมาอยู่แล้ว เพียงแต่เทคโนโลยีช่วยให้การอนุมัติสินเชื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยให้ผู้บริโภคขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินในระบบได้ง่ายขึ้น หรือเท่ากับมีส่วนช่วยลดการเติบโตของหนี้นอกระบบนั่นเอง

ขณะที่ micro lending ที่เดิมจะวนเวียนอยู่แต่ในกลุ่มนอกระบบ เพราะไม่สามารถปล่อยผ่านระบบสถาบันการเงินได้ ซึ่งอาจไม่ได้เกี่ยวกับความเสี่ยงแต่เป็นเรื่องของตันทุน จึงเป็นหนี้ที่มีอยู่แล้วเพียงแค่วันนี้เรายกมาใส่ไว้ในระบบสถาบันการเงิน

 

การเกิดขึ้นของบรรดาผู้ประกอบการรายใหม่หรือกลุ่ม Startup จะมีผลกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสากรรมอย่างไรบ้าง

ยิ่งมีการแข่งขันมากขึ้นก็ย่อมเป็นประโยชน์กับลูกค้า เพราะช่วยให้กลุ่มที่เดิมเข้าถึงสินเชื่อได้ยากจะสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ขณะที่ฝั่งผู้ให้สินเชื่อก็จะเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ดีขึ้น เช่น กรณีที่ธุรกิจในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยาคือ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ และกรุงศรี ออโต้ (ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ที่บริหารโดย บมจ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส) ร่วมมือกับ Lalamove (ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นขนส่งสินค้าแบบ On Demand) ด้วยการให้สินเชื่อกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในเครือข่ายของ Lalamove ที่มีผลงานดีเยี่ยมก่อน (กลุ่ม Super Star และ Star) ซึ่งครอบคลุมทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อผ่อนชำระ ตลอดจนบริการทางการเงินอื่น ๆ ด้วย

“ด้วยข้อมูลที่อยู่บน platform ก็จะบอกได้ว่าแต่ละเดือนขี่รถไปแล้วกี่รอบ มีรายได้เป็นเท่าไรแล้ว มีความต่อเนื่องในการทำงานอย่างไร มีพฤติกรรมการทำงานในแต่ละวันอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยบอกถึงความเสี่ยงของลูกค้าได้ว่ามีมากหรือน้อย”

นอกจากนี้ เชื่อว่าในอนาคตจะเกิด platform ที่ให้ข้อมูลแบบ vertical หรือข้อมูลเชิงลึกของแต่ละกลุ่มสายอาชีพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามขึ้นกับว่าแต่ละสถาบันการเงินจะนำข้อมูลต่าง ๆ เช่น เครดิตบูโร พฤติกรรมบน Social Network หรือ อื่น ๆ มาใช้ประกอบการอนุมัติสินเชื่อด้วยหรือไม่ อีกทั้งเป็นไปได้ที่จะเห็นผู้เล่นใหม่ที่เน้นทำตลาดสินเชื่อในแบบ vertical เพิ่มขึ้นอีกก็ได้ แต่ท้ายที่สุดก็ขึ้นกับว่าปล่อยไปแล้วจะบริหารความเสี่ยงและตามเก็บหนี้คืนได้จริงหรือไม่

นอกจากด้านธุรกรรมทางการเงินแล้ว e-KYC และ NDID จะส่งผลต่อผู้บริโภคในส่วนอื่นอย่างไรบ้าง

e-KYC และ NDID นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และช่วยแก้ปัญหาการระบุตัวตนสำหรับหลายธุรกรรม เพราะเมื่อสามารถตรวจสอบข้อมูลบุคคลโดยไม่ต้องแสดงบัตรประชาชนที่เป็นพลาสติกแต่ทำโดยระบบออนไลน์ได้โดยไม่ต้องเดินทางไปแสดงตัวที่หน่วยงานราชการต่าง ๆ แล้ว อีกทั้งด้วย e-Signature ก็ช่วยให้ไม่ต้องเซ็นเอกสาร จึงส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและกิจกรรมในทุกอุตสาหกรรม

แน่นอนว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ย่อมถูกนำไปใช้กับผู้ที่มีความพร้อมก่อน เช่น ธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีความเข้มข้นในการระบุตัวตนของลูกค้าสูงสุด แต่ต่อไปจะขยายไปยังมิติอื่น ๆ เช่น หน่วยงานภาครัฐ บริษัทประกัน เป็นต้น

“e-KYC จะเป็นตัวตั้งตั้น ต่อไปก็จะเห็นกระแสเรื่อง Biometrics อื่น ๆ มีบทบาทมากขึ้น”

หลังจากนี้จะมี Fintech ในด้านใดที่เด่นชัดขึ้น

ในส่วนของ Blockchain จะเกิดการนำมาใช้งานจริงจังมากขึ้น “ในเชิงธุรกิจ” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น สำหรับ “ในเชิงตลาดผู้บริโภค” Cryptocurrency ในส่วนของเมืองไทยก็ดูมีความเป็นไปได้มากกว่าประเทศอื่น ๆ เพราะเราเริ่มยอมรับให้มีการซื้อขายที่ถูกต้องได้ มีระบบแลกเปลี่ยนเงินตรา มีการออก ICO เป็นต้น

ขณะที่ในส่วนของธนาคารพาณิชย์จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เป็น as a service ที่ไปเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ จึงเห็นแนวโน้มที่บรรดาธนาคารพาณิชย์สร้าง ecosystem ให้เกิดกับหลาย platform

ยังมีโอกาสสำหรับ Fintech Startup ที่จะเติบโตในธุรกิจได้หรือไม่

คงหนีไม่พ้นว่าผู้เล่นที่น่ากลัวจริง ๆ สำหรับกลุ่มสถาบันการเงิน คือ Tech Enterprise รายใหญ่ เช่น LINE ที่เริ่มขยายตัวเองออกไปไกลกว่า Messaging Platform แต่ต่อยอดไปบริการต่าง ๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การชำระเงิน ขนส่ง หรืออื่น ๆ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการจากประเทศจีนหลาย ๆ บริษัทและ Facebook ก็เริ่มเข้ามาในตลาดผลิตภัณฑ์ทางการเงิน จากข้อได้เปรียบในแง่ฐานลูกค้า เทคโนโลยี และเงินทุน ก็ย่อมมีโอกาสแข่งขันได้เหนือกว่า

ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย แต่จะเป็นในลักษณะลงลึกหรือเป็น vertical ที่สุดท้ายแล้วจะเหลือผู้ชนะเพียงไม่กี่รายในกลุ่มธุรกิจนั้น ๆ เช่นกลุ่ม payment gateway, royalty platform เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นตลาดใหญ่และมีกลุ่มที่มีอำนาจในการซื้อแค่ไม่กี่สิบล้านคน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมี Fintech Startup จำนวนมากมายได้

จะเป็นผู้นำได้ platform ต้องดี ตีโจทย์ของผู้บริโภคแตก สามารถ plug in กับเจ้าของพื้นที่เดิมหรือผู้ประกอบรายใหญ่ได้ ก็ช่วยให้บริษัทเติบโตได้ แต่คงยากที่จะทำพุ่งขึ้นไปได้ขนาดไปฆ่าเบอร์หนึ่งได้

เทคโนโลยีอะไรจะมีผลกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ consumer finance

มองว่า Big Data และ AI จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของแทบทุกธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการควรรู้ว่าจะนำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรก่อน จึงจะรู้ว่ายังขาดอะไร และต้องไปเพิ่มอะไร แล้วจะสร้างประสิทธิภาพอย่างไรด้วย Big Data และ AI

“ธนาคารมองว่า Big Data และ AI จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจ เพราะในอนาคตเทคโนโลยีมีผลต่อการช่วงชิงชัยชนะ แต่การนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์จะช่วยต่อยอด business model ใหม่ ๆ ได้”

ถือว่าใกล้เป้าหมายที่ธนาคารพาณิชย์พูดมานานแล้วว่าจากฐานข้อมูลจะช่วยให้รู้จักลูกค้าและสามารถดูแลแบบรายบุคคลได้มากขึ้น

ใกล้ถึงจุดที่เราจะรู้พฤติกรรมลูกค้าจาก app ที่เราให้บริการ จากการใช้บัตรเครดิตของลูกค้า หรือแม้แต่จาการโทรเข้า call center อาทิ ทุกวันนี้สามารถคาดการณ์ได้แล้วว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าจะมีคนจำนวนเท่าไรที่จะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ซึ่งวิเคราะห์จากยี่ห้อโทรศัพท์และรุ่นที่ดาวน์โลด app จากการเข้าไปอ่านข้อมูลทางออนไลน์ ตลอดจนจากรายการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต

รวมถึงการทำตลาดแบบรายบุคคลหรือเป็น tailor-made มากขึ้น เช่น แจ้งโปรโมชั่นเฉพาะคุณล่วงหน้า 1 ชั่วโมงสำหรับร้านอาหารที่ไปกินประจำ หรือแม้แต่นำเสนอว่าให้จองโต๊ะให้ด้วยก็ได้ ที่ในที่สุดอาจขยายจนเป็น e-market place ในที่สุด หรือหลุดจากเกมการแข่งขันของธนาคารไปสู่การเป็น commerce มากขึ้นจากที่เรามีข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้นในแบบ right content right time

แนวคิดเรื่องการปรับวัฒนธรรมองค์กรในปัจจุบันเป็นอย่างไร

ตอนนี้ในองค์กรมีเด็กรุ่นใหม่มาร่วมงานกับองค์กรเรามากขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้คนหลายรุ่นสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดรับองค์ความรู้ใหม่ ตลอดจนทะลุกำแพงการสื่อสารจากผู้บริหารระดับบนลงมาล่าง

ดังนั้นอันแรกที่เราปรับคือเรื่องการสื่อสารภายในองค์กร ซึ่งเริ่มค้นหาว่าช่องทางใดจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการสื่อสารมากสุด และรูปแบบ content ใดที่พนักงานนิยมใช้ ต่อมาคือต้องรู้ว่าวัตถุประสงค์ของการสื่อสารคืออะไร นั่นคือเรื่องใดที่ต้องการข้อมูล หรือเรื่องใดที่อยากให้ข้อมูล ด้วยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ที่ช่วยให้องค์กรหรือธนาคารแตกยอดไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ หรือเอาชนะคู่แข่งได้

การช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและสร้าง environment ที่สามารถก่อให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ คือวัตถุประสงค์หลักของการปรับวัฒนธรรมองค์กร

กระบวนการปรับเปลี่ยนขับเคลื่อนได้อย่างไรบ้าง

ด้วยพนักงานที่มีถึง 20,000 คนคงไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่ขอให้เริ่มจากคนราว 5% ที่ช่วยเราและสามารถพูดหรือโน้มน้าวให้คนกลุ่มใหญ่รู้สึกคล้อยตามแล้วต้องการมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลง

เมื่อราว 2 ปีก่อนเราตั้งทีมที่เรียกว่า ‘ซุปเปอร์จี๊ด’ จำนวนราว 30 - 40 คน ที่คัดเลือกจากหลาย ๆ มิติ เช่น อายุงาน ศักยภาพการทำงาน กิจกรรมบน social network โดยเริ่มจากเรียกมาพูดคุยถึงแนวทางการปรับวัฒนธรรมองค์กรแล้วให้กลุ่มคนเหล่านี้ไปสื่อสารต่อยังคนกลุ่มใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ให้ได้มากที่สุด แต่แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะครบถ้วนทั้ง 100%

มีแนวทางสร้าง Work–life balance อย่างไร

ผมใช้เวลาว่างกับการอ่านหรือดูข้อมูลเรื่อย ๆ เพื่อเปิดโลกและช่วยให้เรามีข้อมูลเพื่อพร้อมปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ตลอด จึงจะสามารถดำเนินชีวิตและการทำงานได้ถูก แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนรุ่นเก่าจึงติดกับการอ่านข้อมูลหรือหาความรู้จักหนังสือเล่ม แม้ว่าก่อนนี้จะลองพยายามไปอ่านในรูปแบบอื่น เช่น ออนไลน์ มาแล้ว แต่ไม่ถูกจริต

ทุกวันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะชอบเดินเข้าร้านหนังสือและซื้อหนังสือเก็บไว้จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกอ่านหลากหลายหัวข้อ เช่น ธุรกิจ เทคโนโลยี การบริหารจัดการ การพัฒนาตัวเอง ชีวประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญคือถ้าอ่านแล้วมีแค่ประโยคเดียวที่สำคัญจนจุดไฟในตัวเราหรือได้แนวคิดที่นำมาปรับใช้แล้วสร้าง impact กับธุรกินของเราได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

รับมือกับความเครียดหรือแรงกดดันในการทำงานอย่างไร แล้วมีอะไรเป็น secret sauce

เวลารู้สึกท้อหรือ down ผมค่อนข้างดึงตัวเองกลับมาได้เร็วกว่าคนอื่น ด้วยการฟังเพลง What a Wonderful World และ ลีฟ แอนด์ เลิร์น (Live and Learn) ซึ่งไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงช่วยได้ แต่ทุกครั้งที่รู้สึกหม่น ๆ พอฟังเพลงพวกนี้ก็จะรู้สึกดีขึ้น

อีกวิธีคือการอ่านหนังสือ เพราะเมื่อไปมีสมาธิหรือสนใจกับเนื้อหาในหนังสือแล้วก็จะช่วยให้ลืมเรื่องที่หมองหม่น นั่นคือหนังสือเรื่อง What I Wish to Know When I was 20 ที่อ่านเป็นรอบที่ 3 แล้วทุกครั้งที่อ่านก็จะช่วยให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ

แต่จริง ๆ แล้วที่มีประสิทธิภาพมากสุดคือครอบครัว เพราะลูกคือแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดเท่าที่มวลมนุษยชาติได้ประดิษฐ์ขึ้นมา ไม่ว่าจะรู้สึกแย่อย่างไรได้กอดลูกสองคนก็เหมือนชาร์จแบตเตอรี่เต็มเร็วที่สุด

มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนอื่น ๆ ที่เครียดหรือมีปัญหาในการทำงาน

เราต้องมีสติและอย่าไปหมกมุ่นกับปัญหาที่เกิดขึ้น จึงมักบอกตัวเองเสมอว่าให้ผมในอนาคตมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแทนแล้วกัน เพราะถ้าไม่หยุดคิดก็ไม่สามารถก้าวข้ามปัญหาตรงนี้ไปทำอย่างอื่นได้ ยกเว้นเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องแก้ให้ได้ก็ต้องพยายามเค้นตัวเองเพื่อหา solution ที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นเรื่องนี้แล้วจะได้ไปทำเรื่องอื่น ๆ

สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วออกไปจาก environment ตรงนั้นก่อน แล้วสักพักค่อยคิดออกเอง


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไมความสำเร็จของ Bruno Mars มาจากความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ทักษะทางดนตรี?

หลายคนคงรู้จัก Bruno Mars นักร้องชื่อดังที่มีเพลงฮิตติดหูมากมาย แต่ความสำเร็จในวันนี้ นอกจากความสามารถทางดนตรีแล้ว เจ้าตัวเผยว่า ‘ความซื่อสัตย์’ ต่อสิ่งที่ทำ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญท...

Responsive image

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มาจากคอนเนคชั่นและการเลือกคบคน บทเรียนสำคัญของ Mark Zuckerberg

Mark Zuckerberg ชี้การเลือกสร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์นั้นอาจสำคัญกว่าเป้าหมายเสียอีกเพราะการที่เราจะเติบโตขึ้นไปเป็นใครสักคนหนึ่ง ผู้คนที่เราคบหาส่งผลอย่างมากต่อตัวตนของเรา...

Responsive image

เทียบสวัสดิการหญิง ไทยสู้ใครได้บ้าง?

บทความนี้ Techsauce จึงจะพามาดูว่าการต่อสู้กว่า 1 ศตวรรษที่ผ่านมา ในปัจจุบัน ‘สิทธิสตรี’ และสวัสดิการหญิงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว...