The Future of Food ชี้เทรนด์อาหารแห่งอนาคตเป็นอย่างไร

The Future of Food ควรหันมาให้ความสำคัญกับการคิดค้นกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนมากกว่าประเภทของอาหาร

เวที Global Business Dialogue 2018 โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และกระทรวงการต่างประเทศ เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ รวมหัวกะทินักวิชาการ และผู้ประกอบการระดับโลก ร่วมเผยแนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคม และธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมชี้เทรนด์อาหารโลก (The Future of Food) ต้องเน้นกระบวนการผลิตเพื่อสร้างความยั่งยืน ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)  นายธรรมศักดิ์ จิตติมาพร รองประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวถึงงาน Global Business Dialogue 2018 ว่าจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว ซึ่งปีนี้อยู่ภายใต้หัวข้อ Innovating the Sustainable Future เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามามีส่วนร่วมสร้างสรรค์โลกให้ยั่งยืน และก้าวสู่ Sustainable Development Goals (SDGs)  

Sustainable Development Goals (SDGs)

ภายในงาน มิสเดียร์เดร์ บอยด์ ผู้แทนจากโครงการพัฒนาสหประชาชาติ กล่าวปาถกฐาถึง SDGs ที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ประชาคมโลกตกลงร่วมกันที่จะใช้เป็นกรอบในการดำเนินด้านการพัฒนามีเป้าหมายทั้งหมด 17 ข้อ ครอบคลุมด้านต่างๆ เพื่อขจัดความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และให้เกิดความเท่าเทียมกันทุกระดับ ชนชั้น และเพศสภาพ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาผลักดันให้บรรลุเป้าหมายต่างๆ เหล่านั้นได้เร็วขึ้น

“วันนี้เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่ SDGs ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยโอกาส ซึ่งในบรรดาเป้าหมายทั้ง 17 ข้อนั้น ข้อที่ 17 เป็นข้อที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการวางเป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมและเข้ามามีบทบาทเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

ด้านนายเจฟฟรีย์ ดี แซคส์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และผู้อำนวยการเอสดีเอสเอ็น ให้ข้อคิดว่า นวัตกรรมจะเป็นกลไกหลักที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยนวัตกรรมจะเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน ช่วยยกระดับมาตรฐานชีวิต และทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางในที่สุด ซึ่งนวัตกรรมยังสามารถนำมาเชื่อมโยงกับความยั่งยืน ด้วยการเข้ามาแก้ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ทำให้ภาคการเกษตรเกิดความยั่งยืน ตัดต้นไม้ และปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง และควบคุมหรือติดตามการใช้กฎระเบียบในการทำประมงได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นต้น

The Future of Food

อย่างไรก็ดี ด้วยประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ประมาณการว่าในปี ค.ศ. 2030 ประชากรโลกจะเพิ่มจำนวนเป็น 8,500 ล้านคน นั่นหมายความว่าจำนวนอาหารที่ผู้คนทั่วโลกบริโภคต้องทวีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เวที Global Business Dialogue 2018 ยังชี้เทรนด์ Circular Economy : The Future of Food โดย นายมาร์ค บัคลี่ย์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Adaptive Nutrition Joint ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 100% ได้นำเรื่องของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาช่วยในเรื่องของกระบวนการผลิตและการบริหารธุรกิจ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนให้คำปรึกษาด้านระบบนวัตกรรม การรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ ออร์แกนิค และผลิตภัณฑ์ กล่าวถึงเทรนด์อาหารแห่งอนาคตว่า

ปกติเวลาที่คนทั่วไปพูดถึงเทรนด์อาหารโลก หลายคนมักพูดถึงเทรนด์การรับประทานอาหารวีแกน กีโต มังสวิรัติ ออร์แกนิก หรือการบริโภคอาหารท้องถิ่นตามฤดูกาล แต่ผมคิดว่าอาหารแห่งอนาคต (The Future of Food) ควรหันมาให้ความสำคัญกับการคิดค้นกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนมากกว่าประเภทของอาหาร และควรทำในลักษณะเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ยังทำให้แร่ธาตุและวิตามินของอาหารยังอยู่ครบ สูญเสียทรัพยากรให้น้อยที่สุด และหาทางนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่

ทั้งนี้นายมาร์ค ชี้ว่า อาหารถือเป็นปัจจัยที่จำเป็นมากที่สุดซึ่งอยู่ใต้ฐานปิรามิด หากคนในสังคมผลิตอาหารเพื่อความยั่งยืนแล้วก็จะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนด้านอื่นๆ ตามมา

“ก่อนอื่นทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า Circular Economy คืออะไร Circular Economy คือเศรษฐกิจแบบระบบปิด (Close Loop) นั่นหมายถึง การทำให้ระบบเศรษฐกิจไม่มีขยะ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยพลังงานหมุนเวียน การให้ความสำคัญต่อประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และตั้งราคาที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง  ซึ่ง Circular Economy สามารถทำได้ทั้งในระดับบุคคล ภาคธุรกิจ สังคม ประเทศ และนำมาประยุกต์ได้ทั้งทุกภาคส่วน ในระดับบุคคล แค่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และทำให้เกิดการสูญเสียให้น้อยที่สุด ภาคธุรกิจ ถือเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องคิดแทนผู้บริโภคด้วยการหาวิธีที่ทำให้สินค้า หรือบรรจุภัณฑ์ที่ตนผลิตนั้นย่อยสลายให้ได้มากที่สุด หรือนำมากลับมาใช้ใหม่อย่างไรได้บ้าง เช่น ผู้ผลิตเครื่องดื่มอาจจะใช้บรรจุภัณฑ์ขวดแก้วแทนพลาสติก โดยใช้น้ำฝนในการล้างบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาบรรจุใหม่ หรือ การออกแบบบรรจุภัณฑ์เฉพาะที่สามารถนำไปเติมเครื่องดื่มได้ตามตู้กดเมื่อต้องการ เป็นต้น”

นายมาร์ค ยกตัวอย่าง กระบวนการผลิตอาหารตามแนวคิด Circular Economy ว่าที่ผ่านมาบริษัทมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นเองเป็นแห่งแรก เช่น การทำการเกษตรแนวดิ่ง (Vertical Farming) ด้วยการนำน้ำฝนมาใช้รดน้ำต้นไม้ นับได้ว่าเป็นการทำการเกษตรระบบปิดที่นำทรัพยากรที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้มาใช้ในการผลิตอาหาร โดยไม่ต้องกังวลกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปตลอดทั้งปี ทำให้สามารถปลูกผลการผลิตได้ถึง 30 ครั้ง ถ้าเทียบกับการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมที่พึ่งพึงธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังมีกระบวนการผลิตทางเลือกอีกมายมายที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารอันเกิดจากวิธีการทำการเกษตรหรือประมงที่ไม่มีความยั่งยืน (เช่น Over Fishing) และมีการนำมาทำแล้วในหลายประเทศ เช่น การปลูกพืชควบคู่ไปกับการเลี้ยงปลา (Aquaponics) การทำฟาร์มแนวดิ่ง (Vertical Farming) เนื้อสัตว์เทียม (Memphis Meats) และการผลิตเนื้อสัตว์จากพืช (Plant-Based Meat) เป็นต้น   

สำหรับแนวทางการประยุกต์ Circular Economy มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยนั้น นายมาร์ค ได้ยกตัวอย่างจากเวที World Economic Forum ที่มีนวัตกรรมเข้ามาเปลี่ยนแปลงการกระบวนการผลิตอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิกฟิก ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ในประเทศไทยได้ เช่น  Safety Net เป็นนวัตกรรมอวนที่มีแสงสเปกตรัมเฉพาะที่ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดประเภทปลาที่ผู้ประกอบการต้องการ ช่วยป้องกันปลาประเภทอื่นที่ไม่ต้องการติดอวนขึ้นมา

“ปัญหาการประมงทุกวันนี้ คือ ชาวประมงใช้อวนตาถี่ที่ทำให้สัตว์น้ำทั้งที่ต้องการและไม่ต้องการติดอวนขึ้นมา และชาวประมงจะเลือกเฉพาะที่ตัวเองต้องการเท่านั้น และทิ้งสัตว์ทะเลชนิดอื่นที่ไม่ต้องการลงทะเล ซึ่งสัตว์เหล่านั้นก็จะตายโดยไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ แต่ Safety Net เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้สีที่เป็นสเปกตรัมต่างๆ  โดยมีการศึกษากันว่า สปีชีส์ไหนมองเห็นแสงสีอะไร ก็ใช้แสงสีนั้นล่อให้มาติดอวน อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยเป็นประเทศที่ฝนตกชุก และมีอากาศชื้น ควรนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ เช่น เก็บความชื้นในอากาศในเมืองมาแปรเป็นขั้นตอนหนึ่งในการผลิตเครื่องดื่มได้”

รวมถึงการเสนอแนวทางปฏิรูปกระบวนการผลิตอาหารในระดับโลก เพราะทุกวันนี้ในทุกๆ การผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะมีของเหลือจากการผลิตมากถึง 1 ใน 3 ของเหล่านี้ถูกทิ้งไปโดยไม่ถูกกลับนำมาใช้ประโยชน์ และวิธีที่ผู้บริโภคทิ้งมี 3 ทางด้วยกันคือ ฝังกลบ เผา และทิ้งลงน้ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้ผืนดินขาดออกซิเจน ก่อให้เกิดแก๊สมีเทนที่ทำให้เกิดความร้อนมากยิ่งกว่าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ยังเท่ากับว่าโลกสูญเสียทั้ง 2 รูปแบบคือ ทรัพยากรธรรมชาติ และพลังงานของคนที่ผลิต/ทำการตลาด พลังงานที่ใช้ในการผลิตและขนส่ง

สุดท้ายนี้นายมาร์ค ให้แง่คิดอย่างน่าสนใจว่า ทุกวันนี้ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มส่วนใหญ่มักมีวิธีคิดเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด แต่นั่นอาจหมายถึงการเข้าไปเพิ่มต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมให้กับโลกหลายเท่า

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การหากระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งผมยอมรับว่ามันค่อนข้างมีความซับซ้อนและเป็นระบบซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ แต่หากทุกคนหาเจอแล้ว นอกจากจะสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย พิสูจน์ได้จากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ของผมได้ผลิตขึ้นมา พบว่าวิธีการผลิตเพื่อความยั่งยืนไม่ได้ใช้ต้นทุนมากเช่นในอดีต

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image
Responsive image

9 ทักษะดิจิทัล ปี 2024 สร้างมูลค่าให้บริษัทด้วย Tech Skills แห่งอนาคต

ทักษะดิจิทัล หรือทักษะด้านเทคโนโลยี (Tech Skills) ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและแม่นยำ ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด...

Responsive image

AI ล้ำหน้าหรือภัยอนาคต? แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ล่าหรือเหยื่อ | Tech for Biz EP.17

ในยุคที่ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีการคาดการณ์ว่ากว่า 300 ล้านตำแหน่งจะหายไป คำถามคือ คุณจะยืนอยู่ฝ่ายไหนระหว่างเหยื่อที่ถูกแทนที่ หรือนักล่าที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ? แล้วต้องปรับต...