พีรเดช มุขยางกูร อดีตพนักงานประจำที่ผันชีวิตสู่ซีอีโออายุน้อยของ Cariber กับคำถามที่ว่าถ้าไม่เริ่มวันนี้แล้วจะเริ่มวันไหน? | Techsauce
พีรเดช มุขยางกูร อดีตพนักงานประจำที่ผันชีวิตสู่ซีอีโออายุน้อยของ Cariber กับคำถามที่ว่าถ้าไม่เริ่มวันนี้แล้วจะเริ่มวันไหน?

ตุลาคม 20, 2022 | By Siramol Jiraporn

หลายคนมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่การทำธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่า 90% ของสตาร์ทอัพมักจะล้มเหลว ทำให้บางคนกลัวจนไม่กล้าเริ่มต้นเดินตามฝันของตัวเอง ในบทความนี้ ConNEXT จะพาทุกคนไปเจาะลึกประสบการณ์เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองในวัยยี่สิบต้นๆ กับคุณพีรเดช มุขยางกูร ผู้ร่วมก่อตั้ง Cariber แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สอนโดยที่สุดของประเทศ ผู้บริหาร และผู้นำทางความคิดของประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่มีฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ

Cariber

ตอนเด็กไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าโตมาแล้วจะเป็นอะไร

เล่าย้อนกลับไปตอนเด็กๆ พวกเราคงไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าเติบโตขึ้นแล้วจะประกอบอาชีพอะไร แต่มีพฤติกรรมอะไรหลายๆ ที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเรามีความสนใจเรื่องไหนมากกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราอยู่กับเรื่องการทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากการที่เราซื้อยางลบสหกรณ์มาขายต่อให้เพื่อนได้กำไร 5-10 บาท อีกทั้งตอนป.3 คุณแม่เริ่มทำขนมจึงรับหน้าที่เป็นคนรับออเดอร์และส่งขนมให้กับอาจารย์ในโรงเรียน ตอนนั้นได้เงินส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ จากคุณแม่

ความชอบการทำธุรกิจก็ค่อยๆ สะสมมาตั้งแต่ตอนนั้น พอโตขึ้นมาประมาณมัธยมต้นเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าอยากทำธุรกิจแต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะทำอะไรดี จุดเปลี่ยนเริ่มขึ้นตอนที่เราเริ่มขายเสื้อบอล เนื่องมาจากว่าตอนนั้นชอบดูบอลมากรวมถึงตอนนั้นบอลไทยก็บูมมากเช่นกัน ซึ่งจังหวะพอดีกับตอนที่ได้ไปเรียนที่สิงคโปร์จึงเริ่มเห็นโอกาสแล้วว่าสามารถรับเสื้อบอลมาขายที่ไทยได้ ตรงนี้จึงเป็นเหมือนจุดที่เราได้เริ่มปูพื้นฐานการทำธุรกิจเล็กๆ ซึ่งทำอยู่ประมาณสองปี

พอเริ่มเห็นภาพตัวเองว่าอยากเป็นนักธุรกิจ  จึงตัดสินใจเข้าเรียนต่อปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (BBA) ซึ่งเป็นคณะที่เรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ เช่น การเงิน และการตลาด เป็นต้น

จุดเริ่มต้นการเป็นนักธุรกิจในวัยยี่สิบต้นๆ 

ธุรกิจแรกที่เราทำจริงๆ เป็นธุรกิจสื่อชื่อว่า Career Fact เนื่องจากว่า ณ ตอนนั้นเราชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการงาน และเป็นคนที่ชอบใช้ LinkedIn ชอบพูดคุยกับคนรู้จักเรื่องการงาน แล้วรู้สึกว่า ณ ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนทำเพจด้านนี้แบบชัดๆ เท่าไหร่ จึงตั้งเป้าหมายขึ้นมาว่าจะทำเพจนี้และสัมภาษณ์คนอื่นเรื่องการงาน โดยเริ่มจากคนใกล้ตัว เพราะการเชิญคนไกลตัวในช่วงเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากนั้นก็ทำเพจมาเรื่อยๆ จนเริ่มเติบโตขึ้น จึงได้มีโอกาสเชิญผู้บริหารสตาร์ทอัพ ผู้บริหารองค์กรใหญ่ ดารา นักการเมือง และนักแสดงมาสัมภาษณ์มากขึ้น

ในระหว่างนั้นเริ่มรู้สึกว่าอยากต่อยอดธุรกิจ จึงเริ่มมองว่า Career Fact จะต่อยอดไปเป็นอะไรได้บ้าง ซึ่งมีพี่คนหนึ่งแนะนำว่าแทนที่จะมานั่งสัมภาษณ์คนให้ทำเป็นคอร์สจริงจังไปเลยดีกว่า นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ Cariber 

ตอนนั้นเราเริ่มสร้าง Cariber ด้วยเงินทุนของตัวเองกับเพื่อนอีกคน ซึ่งเงินก้อนนั้นมาจากการขายเสื้อบอลและจากงานประจำที่ทำมาประมาณสองปี แม้ว่าจะเป็นเงินที่ไม่ได้เยอะมาก แต่เพียงพอที่เราจะเริ่มต้นได้ในช่วงแรก

เส้นทางการเริ่มธุรกิจของเราอาจจะแปลกกว่าคนอื่นไปบ้าง เพราะเราลาออกจากงานประจำโดยไม่ได้มีไอเดียแบบชัดๆ ว่าจะทำอะไร แค่รู้สึกว่าอยากเริ่มทำธุรกิจแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยมาคิดและตัดสินใจอีกทีว่ามีธุรกิจประเภทไหนบ้างที่สามารถทำได้ด้วยเงินทุนและทักษะที่มี เพื่อที่จะได้ลองเติบโตด้วยตัวเอง

หลังจากนั้นประมาณสิบเดือนเริ่มมองว่าถึงเวลาที่ต้องใช้เงินทุนจากข้างนอกแล้ว จึงเริ่มนำไอเดียไปเล่าให้พี่ๆ ผู้บริหาร 4 ท่านด้วยความตั้งใจที่อยากทำ  ซึ่งช่วงแรกๆ โชคดีมากที่ได้พี่ๆ ที่รู้จักมาช่วยซัพพอร์ตทำให้ตัวโมเดลของ Cariber เกิดขึ้นมาได้

Cariber แพลตฟอร์มคอร์สเรียนออนไลน์ที่สอนโดยที่สุดของประเทศ

สำหรับคนที่อาจสงสัยว่า Cariber คืออะไร? Cariber คือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีโมเดลธุรกิจสองรูปแบบ ได้แก่ รูปแบบแรก ‘Single Course’ คือซื้อหนึ่งคอร์สแล้วดูได้คอร์สนั้นคอร์สเดียว รูปแบบสอง ‘Subscription’ เป็นแพ็คเกจรายปี สมัครแล้วสามารถดูได้ทั้งคอร์สเดิมที่มีและคอร์สใหม่ที่กำลังจะออกมาในอนาคต

สิ่งที่อยากให้คนจดจำ Cariber ได้คือคำว่า ‘คุณภาพ’ เพราะเราเริ่มมาด้วยความตั้งใจแบบนี้ตั้งแต่ต้น คุณค่าที่เราตั้งไว้ให้กับลูกค้าเสมอคือ อย่างน้อยต้องคุ้มค่าคุ้มราคาที่จ่ายไป เมื่อเราลองปล่อยคอร์สแต่ละคอร์สออกไปเราก็จะติดตามดูเสมอว่าเราต้องปรับอะไรบ้าง เพื่อทำให้เรื่องคุณภาพที่เราตั้งไว้ชัดและโดดเด่นขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยความที่ Cariber เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ซึ่งอาจจะไม่ได้ดึงดูดเท่าการเรียนรู้แบบอื่นๆ โดยเฉพาะการเรียนสด ดังนั้นเราจึงต้องทำการบ้านมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง

สิ่งที่ Cariber จะทำต่อไปคือ การพัฒนาตัวคอร์สออนไลน์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผู้สอน เพิ่มความคุ้มค่า เพิ่มเรื่องราวให้มากขึ้น เพราะช่วงแรกๆ เน้นสายธุรกิจและผู้บริหารค่อนข้างเยอะ ตอนนี้จึงหันมาสำรวจในภาคส่วนอื่นๆ บ้าง เช่น ไลฟ์สไตล์ และต่อไปก็จะเริ่มสำรวจสินค้าและบริการอื่นๆ ที่จะต่อยอดจากสิ่งที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบัน

‘ทัศนคติและมายด์เซ็ต’ ส่วนสำคัญในการเริ่มธุรกิจ

ส่วนตัวเชื่อว่าทักษะสำคัญที่สุดในการเริ่มทำธุรกิจหรืออะไรก็ตามแต่ คือ ‘ทัศนคติและมายด์เซ็ต’ แน่นอนว่าการทำธุรกิจจะต้องมีความรู้ในหลายๆ เรื่อง แต่การที่คนเราจะรู้ทุกเรื่องเป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้นจึงต้องมีทัศนคติและมายด์เซ็ตที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เช่น ในช่วงแรกๆ เราก็ไม่ได้รู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับการทำแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ ไม่ได้รู้ทุกเรื่องที่ผู้สอนจะสอน แต่เมื่อไม่รู้เราก็ต้องหาคำตอบ เช่น ไปทำงานกับคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ แล้วขอคำแนะนำจากคนเหล่านั้น ถ้าเรามีมายด์เซ็ตที่พร้อมจะเรียนรู้สุดท้ายแล้วเราก็จะสามารถหาทางไปต่อได้

หนึ่งในเคล็ดลับที่เราใช้ในการเชิญผู้บริหารมาสอนก็มีความเกี่ยวข้องกับทัศนคติและมายด์เซ็ตเช่นกัน คืออย่างแรกต้อง ‘ใช้ความจริงใจ’ เพราะจากประสบการณ์ที่ได้ไปเชิญคนอื่นมาสอนส่วนใหญ่ที่เราเจอจะไม่ใช่การโดนปฏิเสธเลยทันที ดังนั้นสุดท้ายแล้วถ้าอยากชนะใจ เราต้องชัดเจนว่าสิ่งที่เราจะเสนอให้กับคนคืออะไร แล้วการที่พี่ๆ เหล่านั้นมาสอนจะได้ประโยชน์อะไรต่อตัวเรา คนอื่นๆ และตัวพี่ๆ ที่มาสอนย้อนกลับไปบ้าง

นอกจากนี้ ต้อง ‘ทำงานให้หนัก’ ก่อนที่จะถึงการประชุมกับพี่ๆ เราต้องทำการบ้านให้ได้มากที่สุดว่าพี่ๆ เหล่านั้นจะสอนอะไรบ้าง ต้องศึกษาประวัติแล้วดูว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องไหน เพราะการจะซื้อใจคนได้ต้องเริ่มจากการประชุมครั้งแรก ดังนั้นจึงต้องสร้างความประทับใจให้ได้มากที่สุด

‘ความล้มเหลว’ กลัวได้ แต่อย่าถอย

ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็กลัว ในช่วงแรกๆ ของการทำธุรกิจสิ่งที่เราเสียไปสองอย่างคือ เวลาและเงินทุน ซึ่งเรากลัวว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำจะออกมาไม่เวิร์ก เพราะตอนนั้นเราหักดิบโดยการลาออกจากการเป็นพนักงานประจำโดยที่ยังไม่ได้มีไอเดียชัดๆ ว่าจะทำอะไร อีกทั้งยังมีโควิดเข้ามาทำให้มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้กลัวเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นเราจึงตั้งโจทย์ว่าจะให้เวลาตัวเองหนึ่งปี เพื่อที่จะได้ใช้เงิน เวลา และแรงทั้งหมดที่มีไปกับการค้นหาสิ่งที่จะทำให้เต็มที่ แล้วดูว่าจะเวิร์กหรือไม่ ถ้าไม่เวิร์กก็วางแผนทางออกของตัวเองไว้ว่าเราสามารถกลับไปทำงานประจำหรือไปเรียนต่อได้ พอตั้งโจทย์แบบนี้แล้วจึงเห็นภาพมากขึ้นว่าหากเราล้มเหลวหนึ่งปี แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือประสบการณ์อีกมากมาย ดังนั้นถ้าไม่ลาออกตอนนี้ก็ไม่รู้จะลาออกตอนไหนแล้ว

ถ้าไม่เริ่มวันนี้จะเริ่มวันไหน?

ถ้าให้คำแนะนำกับคนรุ่นใหม่ที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวอย่างได้อย่างหนึ่ง เราอยากบอกว่า ‘ให้เริ่มเลย’ เพราะตอนแรกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า Career Fact ที่เราทำในตอนแรกจะต่อยอดเป็นอะไรได้บ้าง เรารู้แค่ว่าต้องเริ่มทำด้วยข้อจำกัดที่มี ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน เวลา และความสามารถ เช่น ตอนนั้นเราเรียนจบ BBA ไม่ได้เขียนโค้ดเป็น นี่คือข้อจำกัดอย่างแรกของเรา เราจึงเริ่มคิดว่ามีธุรกิจอะไรบ้างที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะของการเป็น Developer มาก และผลสุดท้ายก็ออกมาเป็น Cariber

เราอยากบอกให้ทุกคน ‘เริ่มเลย’ ตอนแรกที่เราได้ยินคำแนะนำแบบนี้ก็ไม่เชื่อเพราะไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง แต่พอมีโอกาสได้ทำก็พบว่ามันคือเรื่องจริง เพราะถ้าวันนั้นเราไม่เริ่ม Career Fact เราก็จะไม่เคยรู้ว่ามันจะมีโอกาสตรงนี้

การได้เริ่มทำอะไรบางอย่าง แม้ว่าในครั้งแรก ครั้งที่สอง หรือครั้งที่สามล้มเหลว ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อไปเราจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ เพราะสุดท้ายแล้วการเริ่มลงมือทำมีประโยชน์มากกว่าโทษ เมื่อล้มแล้วยังมีทางให้ไปต่อได้เสมอ ล้มก่อนรู้ก่อน สุดท้ายแล้วเราก็จะหาทางของตัวเองเจอ

No comment