FlexWork FlexHour: ในยุคนี้ความยืดหยุ่นในการทำงานคือคำตอบ? | Techsauce
FlexWork FlexHour: ในยุคนี้ความยืดหยุ่นในการทำงานคือคำตอบ?

กรกฎาคม 24, 2023 | By Connext Team

ในปัจจุบันการตอกบัตรเข้างาน 8 โมงเช้า เลิกงาน 6 โมงเย็น อาจไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นใหม่หลายคนมองหาในการทำงานอีกต่อไป แต่ Flexible Work Culture อาจเป็นคำตอบ ‘ที่ใช่’ ที่ฉีกกฎรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆ และเป็นสิ่งที่ Talent รุ่นใหม่กำลังมองหาจริงหรือไม่? 

FlexWork FlexHour: ในยุคนี้ความยืดหยุ่นในการทำงานคือคำตอบ?

มาร่วมหาคำตอบไปกับ คุณพฤทธ์ อึงคนึงเดชา Chief People Experience Officer จาก Arise by Infinitas และ คุณพิลาสินี ลาลิน Head of Resources and Services Management จาก SCG Digital (WEDO) ที่ได้มาร่วมบอกเล่าเรื่องราวและแชร์ประสบการณ์ของพวกเขาผ่าน Tech ConNEXT Talk หัวข้อ “FlexWork FlexHour: ในยุคนี้ความยืดหยุ่นในการทำงานคือคำตอบ?” ที่งาน Tech ConNEXT Job Fair 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ ConNEXT ได้รวบรวมใจความสำคัญที่ทั้งสองท่านได้กล่าวไว้มาให้ทุกคนที่นี่แล้ว

ทำความรู้จัก Arise by Infinitas และ SCG Digital (WEDO) 

Arise by Infinitas เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท Infinitas by Krungthai และ Accenture Solutions ตั้งเป้าดำเนินธุรกิจด้วยแนวทาง TechFin เพื่อเพิ่มศักยภาพและทรัพยากรบุคคลทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลโดยเฉพาะ และร่วมกันสร้างโอกาสสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในระดับภูมิภาคและในระดับโลก โดยเป็นเบื้องหังความสำเร็จของ Product ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ เช่น แพลตฟอร์มเป๋าตัง 

SCG Digital (WEDO) คือหน่วยงาน Digital Office ภายใต้ SCG ที่มาช่วยยกระดับ Transform ธุรกิจจาก Manufacturing-Based ให้กลายเป็น Experience Company ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล อีกทั้งช่วยให้องค์กรปรับรูปแบบการทำธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว 

FlexWork FlexHour มีความสำคัญต่อรูปแบบการทำงานในปัจจุบันอย่างไร?

คุณพฤทธ์ กล่าวว่า Arise by Infinitas ตั้งขึ้นมาโดยมีนโยบายการทำงานแบบ Hybrid โดยให้มุมมองความสำคัญของรูปแบบการทำงาน FlexWork FlexHour ไว้ดังนี้

1.มองที่ Result Oriented โดยพนักงานไม่จำเป็นต้องมาที่ออฟฟิศเพื่อทำงาน แต่สามารถทำงานที่ใดก็ได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของานที่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพ 

2.เชื่อว่าวัฒนธรรมการทำงานในรูปแบบของ Flexible จะทำให้พนักงานมี Work-life balance มากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นจุดที่องค์กรคำนึงถึงและมองเห็นความสำคัญของพนักงาน

3.ในปัจจุบันเทรนด์ Flexible Work นี้นับเป็นกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในโลกการทำงานยุคใหม่เพราะ Job Seeker หรือคนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับการเรียนออนไลน์ เพราะฉะนั้นตอนทำงานก็จะมองหาที่ทำงานที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและ Hybrid Workplace เช่นเดียวกัน

คุณพิลาสินี เสริมว่า ทาง SCG Digital (WEDO) ปัจจุบันหลังวิกฤตโควิด-19 ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจาก Work from Home เป็น Hybrid โดยเป็นการเข้าออฟฟิศสลับกับทำงานจากที่ไหนก็ได้ และยึดหลักการทำงานแบบ Work-life harmony คือ การทำให้เรื่องงานและเรื่องส่วนตัวสามารถผสมผสานเป็นเรื่องเดียวกันโดยยึดหลักความยืดหยุ่น เพื่อให้พนักงานมีความสุขกับการทำงาน และได้ผลลัพธ์ของงานที่ออกมามีประสิทธิภาพ 

ทำไมหลังเกิดวิกฤติโควิด-19 บางองค์กรไม่สามารถกลับไปทำงานในรูปแบบเดิมได้อีกแล้ว

คุณพิลาสินีกล่าวว่า การเผชิญหรือผ่านวิกฤตของโควิด-19 ทำให้ทุกองค์กรรวมถึงมนุษย์เงินเดือนทุกตระหนักว่ารูปแบบการทำงานในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ต้องมาออฟฟิศทุกวันกลายเป็นสามารถทำงานจากที่บ้านหรือที่ไหน ๆ บนโลกก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่มี FlexWork FlexHour ได้พิสูจน์แล้วว่าการทำงานที่ออฟฟิศหรือทำงานจากบ้านไม่ได้แตกต่างกัน บางคนทำงานจากที่บ้านอาจจะ Productive ได้มากกว่าเพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางหรือบางคนอาจจะทำงานตอนกลางคืนได้ Productive กว่า 

เพราะฉะนั้นตราบใดที่คุณสามารถส่งงานได้ตรงตามเวลาและรักษาประสิทธิภาพของงานได้ การทำงานในรูปแบบนี้ก็ตอบโจทย์เชิงบวกทั้งทางพนักงานและองค์กร นอกจากนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Work ยังเป็นรูปแบบการทำงานที่ดึงดูด Young Talent ที่เต็มไปด้วยศักยภาพอีกด้วย

ความท้าทายที่องค์กรและพนักงานต้องเผชิญกับรูปแบบการทำงาน Flexible Work Culture 

แน่นอนว่าพอเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็น Hybrid หรือออนไลน์ ในบางมิติอาจจะสู้การเจอกันแบบ Face to Face ไม่ได้ ต้องยอมรับว่าด้วยความเป็นมนุษย์ บางครั้งเราก็ยังคงต้องการการปฏิสัมพันธ์แบบจริง ๆ เช่น การมี Eye Contact, การรับรู้ถึง Facial expression หรือ Body language ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้เรามีความ Productive หรือมีความเข้าใจกันมากกว่าแบบออนไลน์ในหลาย ๆ มิติ ยกตัวอย่างเช่น การประชุมผ่าน Zoom การสื่อสารแบบไม่เปิดกล้อง ไม่เห็นหน้า ไม่มี Eye Contact ก็จะส่งผลให้การโฟกัส รวมไปถึงอารมณ์ของผู้เข้าร่วมเป็นไปในทิศทางคนละแบบกับการพูดคุยกันแบบต่อหน้า  

นอกจากนี้ความท้าทายในการทำงานแบบ Hybrid อีกข้อหนึ่งคือ การไม่มี Interaction โดยเราจะสังเกตเห็นได้ว่าพนักงานบางคนอาจจะเฉาได้ หากให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนต้นไม้ที่ไม่ได้ออกแดด เพราะฉะนั้นฝั่งของหัวหน้างานและ HR ของเราก็จะคอยสังเกตและดูแล โดยที่ Arise by Infinitas ก็จะมีสวัสดิการ Mental Wellness ที่สามารถขอคำปรึกษาได้ทุกเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องงาน คุณพฤทธ์กล่าว 

อีกทั้งปัญหาที่พบบ่อยคือการทำงานออนไลน์อาจทำให้เกิด Productivity เยอะขึ้นแต่ว่าจะตามมาด้วยการกินข้าวไม่เป็นเวลา กลางวันก็ยังประชุมและอาจลากยาวถึง 20:00 น. ทำให้ทำงานเกิน 10 ชั่วโมงต่อวันเพราะว่าทุกเวลาทุกนาทีสามารถคุยงานกันได้ ไม่ต้องไปเดินหาห้องประชุม 

อย่างไรก็ตาม Face to Face  ก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญเพราะสามารถป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาดได้เพราะเราได้เห็นทั้ง Body language หรืออะไรก็ตามที่ทำให้สามารถเข้าใจกันได้มากกว่า เพราะจากประสบการณ์มีหลายครั้งมากที่จบประชุมออนไลน์ไปแล้วทีมเข้าใจกันคนละแบบ แต่ถ้าให้เปรียบเทียบกับการประชุมแบบ Face to Face ก็จะสามารถเข้าใจตรงกันได้มากกว่า 

อีกหนึ่งความท้าทายในการทำงานของ Hybrid ในแง่ของ WEDO ส่วนใหญ่จะเป็นแง่ของ Workplace เรื่องจำนวนพนักงานที่เข้าออฟฟิศ ทางที่ดีองค์กรควรต้องเตรียมพื้นที่ในการทำงานให้เพียงพอต่อพนักงาน และความท้าทายอีกอย่าง คือ การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม หรือ Cross of Culture เพราะใน SCG Digital (WEDO) มีบริษัทอยู่ที่อินเดียด้วย อาจทำให้มีความท้าทายเพิ่มขึ้น และการทำงานข้าม Time Zone ก็เป็นอีกหนึ่งในความท้าทายที่เราต้องเจอ คุณพิลาสินีเสริม

แนวทางในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการทำงานในรูปแบบ Flexible Work Culture 

ในมุมมองขององค์กร Arise by Infinitas มีพยายามผสมผสานระหว่างการออนไลน์และการ Work from home บ้าง แล้วก็มาที่ออฟฟิศเจอกันบ้าง เพราะนอกจากเรื่องของงานแล้วก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ในที่ทำงาน คล้ายกับการช้อปปิ้ง ถ้าเราซื้อแต่ออนไลน์อย่างเดียวก็อาจจะรู้สึกไม่สุด เพราะบางครั้งเราก็อยากไปลองสัมผัสหรือจับของจริงบ้าง เพราะฉะนั้นเหมือนกับการทำงานที่ต้องมีทั้งออฟไลน์และออนไลน์ 

นอกจากนี้ในแต่ละเดือนทาง Arise by Infinitas จะจัดกิจกรรมเพื่อให้พนักงานในองค์กรมาทำความรู้จักและกระชับความสัมพันธ์ในที่ทำงานร่วมกันมากขึ้น และในทุก ๆ สองสัปดาห์จะมีการแบ่งความรู้ในเรื่องต่าง  ๆ มีการจัดกิจกรรมแข่งเล่นเกมและทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อทำให้ออฟฟิศเปรียบเสมือนที่ ๆ พวกเขาจะสามารถมาสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน แบ่งปันความรู้และพัฒนาตัวเองแบบออฟไลน์ ในขณะที่ก็ยังสามารถจัดสรรชีวิตตัวเองกับการทำงานแบบออนไลน์ได้อย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน คุณพฤทธ์กล่าว 

คุณพิลาสินีเสริมว่า สำหรับ SCG Digital (WEDO) Management Level เราพยายามที่จะเจอกัน 2 วันต่อสัปดาห์ที่ออฟฟิศ แต่สำหรับแต่ละทีมเราค่อนข้างยืดหยุ่นโดยไม่ได้มีการกำหนดวันเข้าออฟฟิศ เพราะมีคอนเซ็ปต์ Work From Anywhere หมายความว่าจริง ๆ คุณจะไปนั่งคาเฟ่ จะไปหัวหินหรือไปเชียงใหม่ คุณก็ยังสามารถทำงานได้ทุกที่ เพราะแต่ละคนก็มีสไตล์การทำงานที่ไม่เหมือนกัน

นอกจากนี้ยังมี SCG Digital Innovation Garage ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดสำหรับการทำงาน การแชร์ Passion และแบ่งปันความรู้ต่าง ๆ  นอกจากนี้ยังมี Maker Room สำหรับพนักงานที่ต้องทำแลป, Hot Seat การไม่มีที่นั่งแบบตายตัวสามารถนั่งมุมไหนก็ได้ภายในออฟฟิศ และ Fun Area ให้พนักงานทุกคนสามารถมาเล่นเกมเพื่อพักผ่อนสมองได้ สิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่ก็สามารถผลักดันให้พนักงานอยากมาเจอกันแบบ Face to Face ที่ออฟฟิศมากขึ้น

วิธีวัดผลประสิทธิภาพการทำงานกับการทำงานในรูปแบบ Flexible Work Culture 

คุณพิลาสินีกล่าวว่า ในแง่ของ Organization เรามี OKR (Objectives and Key Results) โดย 

ซึ่ง OKR เปรียบเสมือนเครื่องมือในการสื่อสารให้เข้าใจร่วมกันกับคนในทีมว่าเรามีเป้าหมายอะไร ตอนนี้อยู่จุดไหน และมี Gap อะไรที่ต้องปรับ เพราะ OKR ทำให้สามารถปรับตามธุรกิจตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างยืดหยุ่น

คุณพฤทธ์เสริม จริงๆ แล้วทางเรามีคอนเซ็ปต์ OKR เหมือนกับบริษัทเทคฯ หรือบริษัท Startup ทั่วไปโดยมีการตกลงร่วมกันตั้งแต่ระดับองค์กรมาจนถึงระดับบุคคล โดยมีการวัดผลประสิทธิภาพเป็นรายสัปดาห์ว่าเป็นไปตามแพลนที่วางไว้หรือไม่? ส่วนในเรื่องของ Work Hour พอเราทำงานในรูปแบบของ Flexible Work ไม่ได้มีการ Tracking Work Hour เพราะเรามองกันที่ผลลัพธ์มากกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของธุรกิจด้วย เช่น ธุรกิจที่ปรึกษาก็อาจจำเป็นต้องมีการ Tracking Time Sheet เป็นต้น

อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า องค์กรชั้นนำหลายแห่งเริ่มมีนโยบายการทำงานแบบ Hybrid ที่มอง Result Oriented มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องมาที่ออฟฟิศเพื่อทำงานแต่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ทำให้พนักงานมี Work-life balance และความ Flexible มากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็มีความท้าทายเช่นกัน เพราะการเจอกันของคนในออฟฟิศ หรือ Face to Face นั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน

แม้จะมีทางข้อดีและความท้าทายหลายอย่างแต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าการทำงานแบบ Flexible Work หรือ Hybrid Work ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกองค์กรในการทำงานและเป็นรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

No comment