เปิดประสบการณ์ฝึกงานในฝัน กับ Disney International College Program ที่ทุกคนควรจะได้ไปสักครั้งก่อนเรียนจบ | Techsauce
เปิดประสบการณ์ฝึกงานในฝัน กับ Disney International College Program ที่ทุกคนควรจะได้ไปสักครั้งก่อนเรียนจบ

สิงหาคม 25, 2021 | By Connext Team

เมื่อเอ่ยถึง Disney หลายคนคงนึกถึงตัวการ์ตูนและเหล่าเจ้าหญิงที่โลดแล่นอยู่บนจอ คอยสร้างความสุขให้กับเด็ก ๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่อย่างเราเองก็อดที่จะชอบตัวละครเหล่านั้นไม่ได้เช่นกัน

และสำหรับแฟน ๆ Disney แล้ว การไปเยือน Disneyland ดินแดนในฝันที่เต็มไปด้วยเหล่าตัวละครที่ชื่นชอบผ่านบรรยากาศดั่งโลกนิยาย ถือเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ที่ต้องไปสักครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้

แต่สำหรับนักศึกษาที่เรียนชั้นปีที่ 2 ขึ้นไป และยังไม่จบการศึกษาจากอุดมศึกษา มีสิทธิพิเศษมากกว่าการไปเที่ยวชมซะอีก นั่นก็คือ การไปฝึกงานที่ดินแดนในฝันแห่งนี้นี่เอง เพราะนอกจากจะได้เข้าไปอยู่ในโลก Disney แล้ว ยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุขให้กับผู้คนมากมายได้อีกด้วย

ConNext จึงได้สัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับ คุณรัดฎาภรณ์ ศรีมูล หรือคุณอาร์ พนักงานสุดสวยจากบริษัท Techsauce ตำแหน่ง Project Manager ซึ่งมีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ Walt Disney World เมือง Orlando รัฐ Florida เป็นเวลา 3 เดือน กับโครงการ Disney international College Program จาก London House ตัวแทนจาก Disney แห่งเดียวอย่างเป็นทางการของประเทศไทย 

สำหรับใครที่สนใจหรือกำลังเตรียมตัวอยู่ ก็สามารถเอาประสบการณ์จากคุณอาร์ไปปรับใช้กันได้เลย!

Disney International College Program คือ อะไร? และรู้จักโครงการนี้ได้อย่างไร

Disney International College Program เป็นโปรแกรมสำหรับนิสิต/นักศึกษาที่สนใจฝึกงานกับทาง Walt Disney World ในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม โดยคุณอาร์ได้เล่าว่าได้รู้จักกับโครงการนี้จากรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย ผ่านเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้จากการไปฝึกงานกับ Walt Disney World มาแล้ว 

ถ้าจะสมัครต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง และรีวิวขั้นตอนการสมัครและเตรียมตัว

Disney International College Program เป็นโปรแกรมที่รับสมัครนิสิต/นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ระดับชั้นปีที่ 2 ขึ้นไปเท่านั้น และไม่รับจบ 3 ปีครึ่ง รวมถึงไม่รับปริญญาโทด้วย อีกทั้งยังต้องมี GPAX รวมเฉลี่ยเกิน 2.75 ขึ้นไป และอายุระหว่าง 18-28 ปี สามารถมาเข้าร่วมการสอบสัมภาษณ์และประชุมตามวันที่กำหนดได้ โดยห้ามพลาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว

ส่วนประสบการณ์ของคุณอาร์นั้น เป็นการสมัครผ่าน Road Show ที่ได้จัดขึ้นในมหาวิทยาลัย จึงไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองที่นั่งสำหรับ Road Show หลังจากจบกิจกรรม Road Show จะได้รับ Interview card เพื่อใช้สำหรับเข้าสัมภาษณ์รอบที่ 1 

โดยจะต้องเลือกตำแหน่งงานของเราในขั้นตอนนี้ได้เลย ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 3 ประเภท (แต่ละปีจะมีตำแหน่งให้เลือกแตกต่างกันไป)

  1. Lifeguard  
  2. Quick Service Food & Beverage 
  3. Merchandise 

ซึ่งคุณอาร์ได้เลือกตำแหน่ง Quick Service Food & Beverage หรือพนักงานขายของตามจุดต่าง ๆ ใน Walt Disney World

จำเป็นต้องภาษาอังกฤษไหม บอกเล่าความรู้สึกตอนสัมภาษณ์หน่อยว่าเจออะไรบ้าง

แน่นอนว่าก่อนสมัครโครงการ หลายคนคงมีคำถามนี้ หรือบางคนอาจไม่กล้าสมัครเพราะเรื่องของภาษาที่ใช้ในการสื่อสารนี่แหละ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป เพราะคุณอาร์ได้เล่าว่าในขณะนั้นตัวคุณอาร์เองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมาก แต่ก็พยายามในการสื่อสารให้ได้มากที่สุด ไม่จำเป็นต้องไวยากรณ์ถูกต้องทั้งหมดก็ได้

และในตอนรอบสัมภาษณ์จะมีการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารทั้งหมด โดยรอบแรก จะเป็นคำถามทั่วไปเกี่ยวกับ Disney จากทาง London House เช่น เราชอบตัวละครไหนใน Disney โดยคุณอาร์ได้แอบบอกเคล็ดลับว่าให้เราแสดงออกถึงความสดใสในแบบที่พร้อมมอบความสุขให้กับคนอื่น ๆ เพราะว่านั่นคือบุคลิกที่เหมาะสมกับการทำงานในดินแดนแห่งความสุขนั่นเอง 

ส่วนในการสัมภาษณ์รอบที่ 2 จะเป็นการสัมภาษณ์จาก Disney โดยตรง โดยคุณอาร์ได้เข้าสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยเลย แบบตัวต่อตัว ส่วนในเรื่องคำถามจะเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปที่เกี่ยวกับพื้นฐานการทำงานในตำแหน่งที่เราได้เลือกไป เช่น คุณอาร์ได้เลือกตำแหน่ง Quick Service Food & Beverage ก็อาจได้คำถามที่เกี่ยวกับประสบการณ์การขายสินค้า ซึ่งในส่วนนี้เราสามารถเตรียมตัวและเก็งคำถามได้

เมื่อไปถึง Disney ใช้ชีวิตอย่างไร มีอะไรบ้างที่ต้องเรียนรู้

เริ่มจากการเดินทางไปยังเมือง Orlando รัฐ Florida เราจะได้เข้าพักในหมู่บ้านสำหรับ Exchange Program โดยเราสามารถเลือกบ้านได้ โดยการกดจองผ่านเว็บไซต์ของ Disney ซึ่งจะมีบ้านให้เลือกทั้งหมด 4 หลัง แต่ละหลังก็มีราคาแตกต่างกันออกไปตามความเก่า-ใหม่ของตึก 

ซึ่งคุณอาร์ได้เลือกบ้าน Vista Way ที่ต้องอยู่รวมกัน 12 คนต่อชั้น ซึ่งในชั้นนั้นจะมี 2 ห้อง ซึ่งในห้องนั้นจะแยกออกเป็นห้องนอนอีก 3 ห้อง ดังนั้นจะมี 2 คนต่อห้อง เรียกได้ว่าอยู่ได้แบบสบายมาก ๆ ส่วนในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันทั้งอุปกรณ์ครัวสำหรับทำอาหาร ไมโครเวฟ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า คุณอาร์แอบกระซิบว่าเครื่องนอนต่าง ๆ ให้เตรียมไปเองหรือไปซื้อเอาก็ได้ เพราะเค้าจะไม่มีให้นะ ส่วนในเรื่องอาหารการกินก็พกผงพร้อมปรุงจากเมืองไทยไปมากหน่อย ถึงไปไม่นาน แต่จะคิดถึงอาหารไทยมาก

เมื่อไปถึงที่ Disney คุณอาร์ได้เล่าว่าก่อนอื่นเลยจะมีวันปฐมนิเทศที่เราจะต้องไปจับสลากเพื่อสุ่มตำแหน่งร้านที่ต้องไปทำงาน เพื่อให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งกายและรายละเอียดข้อบังคับของแต่ละจุด ซึ่งจะมีการเรียนเพื่อฝึกทักษะที่จำเป็นเพื่อใช้ทำงานในโรลที่สมัครและต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การเรียกลูกค้าว่า “Guest” และเรียกพนักงานว่า “Cast Member” 

ยังไม่พอในการทำงานเราจะต้องเข้าไปดูตารางงานผ่านทางเว็บไซต์สำหรับพนักงาน ซึ่งในแต่ละสัปดาห์จะมีตารางการทำงานบอกเราว่าต้องทำโซนไหนในแต่ละวันนั่นเอง รวมไปถึงจะบอกรายละเอียดต่าง ๆ ที่ควรทำในวันนั้น เรียกได้ว่าเป็นระบบการจัดการที่ดีสุด ๆ 

ในส่วนของการเดินทางนั้น ทาง Walt Disney World ได้มีรถสำหรับรับ-ส่งพนักงานโดยเฉพาะ และมีการบริการจักรยานฟรี เพิ่มความสะดวกให้กับพนักงานอย่างดี อีกทั้งถ้าเราจะออกไปข้างนอก เราสามารถใช้บัตรพนักงานเป็นส่วนลดครึ่งราคาสำหรับค่าโดยสารได้อีกด้วย

มีช่วงที่ท้อแท้อยากกลับบ้านบ้างไหม เจออุปสรรคอะไรบ้างระหว่างการทำงาน

แน่นอนว่าการไปเยือนต่างประเทศ ต่างที่ก็ต่างวัฒนธรรม มันก็ต้องมี Culture Shock บ้างเป็นเรื่องธรรมดา คุณอาร์ได้เล่าประสบการณ์การพบเจอกับคนต่างวัฒนธรรมว่าแอบตกใจเกี่ยวกับการ Skinship ของที่นู่น เช่น การทักทายแบบกอดหรือ Kiss 

ส่วนเรื่องของอุปสรรคในการทำงานคุณอาร์ได้เล่าว่ามีปัญหาหลัก ๆ ก็เป็นเรื่องของภาษา แต่ในช่วงของการฝึกก็สามารถแอบจำประโยคเพื่อเอาไว้พูดให้ลูกค้าได้ชื่นใจได้ เช่น may the force be with you จากภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Star Wars 

อีกหนึ่งอุปสรรคที่คุณอาร์ได้พบ คือ การนับหน่วยเงินของประเทศอเมริกา เนื่องจากตำแหน่ง Quick Service Food & Beverage จะมีการเดินขายสินค้าบ้าง ทำให้ไม่มีตัวช่วยในการคำนวณค่าเงิน รวมถึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ที่ใช้พูดเกี่ยวกับค่าเงินด้วย เช่น quarter, penny, dime, nickle เพราะถ้าเกิดคิดเงินผิดแล้ว อาจจะโดนลบคะแนนความประพฤติได้นะ

คุณอาร์ได้เพิ่มเคล็ดลับให้อีกว่าถ้านับเลขเป็นภาษาสเปนได้จะดีมาก เพราะคนที่ไปส่วนใหญ่จะใช้ภาษาสเปนกัน ฟังออก 1-10 ก็นับว่าชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย

เหตุการณ์ที่ประทับใจจนทุกวันนี้

ได้ชื่อว่าดินแดนในฝันของใครหลายคน การสร้างความสุขในที่แห่งนี้ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งกิจกรรมที่คุณอาร์ประทับใจที่สุดคือ Magic Hour ที่เราสามารถให้ของกับ Guest เพื่อสร้างความสุขได้แบบ Exclusive สุด ๆ อย่างคุณอาร์เคยมอบไอศกรีมให้กับ Guest เด็ก ๆ แล้วได้รับรอยยิ้มพร้อมคำขอบคุณ แค่นี้ก็มีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับเลย

สิ่งที่ได้จากประสบการณ์การฝึกงานที่ Disneyland

คุณอาร์ได้บอกว่าสิ่งที่ได้จากประสบการณ์การฝึกงานที่ Disneyland มีทั้งการเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือและกระตุ้นให้เราได้ปรับตัวกับสังคมที่ต่างกันออกไป รวมถึงทำให้เราได้เปลี่ยนแปลงมุมมองเกี่ยวกับคนต่างวัฒนธรรมมากขึ้น เรียกได้ว่านอกจากจะได้ประสบการณ์การทำงานแล้ว ยังได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ ในชีวิตอีกด้วย

มีคำแนะนำอะไร ฝากถึงคนที่อยากมาฝึกงานกับ Disneyland ไหม?

สำหรับคนที่อยากไปกับโครงการนี้ คุณอาร์ได้แนะนำว่าให้ดูว่าเราอยากไปหาประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศในแบบที่ไม่ต้องพบกับความเสี่ยงมากเท่ากับโครงการอื่น ๆ อีกทั้งค่าร่วมโครงการก็ไม่แพงมาก ค่าใช้จ่ายไม่เกิน 110,000 บาท และไม่มีค่าเข้าโครงการอีกด้วย ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ต้องการไปต่างประเทศแบบ Adventure มาก แต่ได้ประสบการณ์ที่คุ้มค่าแบบสุด ๆ

เรียกได้ว่า Disney International College Program เป็นอีกหนึ่งในโครงการที่ได้ประสบการณ์การทำงานในดินแดนที่อบอวลไปด้วยความสุขทั้ง Guest และ Cast Member กันเลยทีเดียว ใครที่ยังมีโอกาสก็อย่าพลาดที่จะไปซักครั้งในชีวิตกันนะ

No comment