‘เบื่อการทำงานแบบ WFH ไม่ไหว ชั้นขอกลับไปทำงานที่ออฟฟิศสักหน่อยละกัน’

แน่นอนว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ตลอดปีที่ผ่านมา แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่เคยเป็น ชีวิตที่ไม่ต้องใส่แมสก์ปิดจมูก ชีวิตที่ไม่ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้คนเข้าใกล้ และที่สำคัญที่สุด ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศที่ไม่ได้สัมผัสกันมานาน จนแทบจะหายไปจากความทรงจำของพวกเราเสียแล้ว

และแม้ว่า เมื่อได้ทำงานจากที่บ้าน มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่รู้สึกว่า อยากจะทำงานแบบนี้ตลอดไป เพราะ มันทั้งสะดวกสบายในการบริหารจัดการเวลา ไม่ต้องฝ่ารถติดและการจราจรที่ติดขัด แถมยังมีเวลาอีกมากมายให้ไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่สำหรับกลุ่มคนขี้เหงาอย่างพวกเรา ก็คงอดคิดถึงบรรยากาศการทำงานในออฟฟิศที่เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมงานและผู้คนมากมายไม่ได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการอัพเดทกับมาตรการคลาย Lockdown ที่เกิดขึ้น และมีแนวโน้มว่าหลายคนอาจจะได้กลับเข้าออฟฟิศในเร็ว ๆ นี้ ConNEXT จึงอยากจะชวนทุกคนมาดูกันดีกว่าว่า มีเหตุผลอะไรบ้างนะ? ที่ติดอันดับยอดนิยมที่ทำให้ผู้คนอยากกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันอีกครั้ง และเหตุผลนั้น จะเป็นเหตุผลที่อยู่ในใจของคุณหรือเปล่า? ตามไปดูกันเลย!

เหตุผลข้อที่ 1: “การทำงานแบบ Work From Home ทำให้ชั้นไม่มีสมาธิเอาเสียเลย”

ข้อเสียอย่างหนึ่งของการทำงานแบบ Work From Home คือ บ้านมักจะเต็มไปด้วยสิ่งเร้าและรบกวนสมาธิของเราอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 2 คนขึ้นไป หรือมีสัตว์เลี้ยงต้องคอยดูแล ทำให้เราไม่สามารถจัดการทุกอย่างให้อยู่ในความสงบได้เลย 

เพราะฉะนั้น หลายคนจึงเลือกที่จะกลับไปทำงานออฟฟิศ ที่มีพื้นที่ส่วนตัวให้ทำงานแบบสงบ ๆ และช่วยให้เราสามารถโฟกัสอยู่กับสิ่งที่ทำได้ดีกว่าเดิม

เหตุผลข้อที่ 2: “ติดต่อเพื่อนร่วมงานยากเหลือเกิน งานเลยไม่เสร็จสักที”

แม้ว่าการทำงานแบบ Work From Home จะทำให้เรามีเวลาในการจัดการงานบ้านและสิ่งของรอบตัวมากขึ้น แต่ก็ทำให้การทำงานของเราเสร็จช้าลงด้วยเช่นกัน เนื่องจากอุปสรรคด้านการสื่อสารระหว่างคนในทีมและภายนอก

การทำงานที่ออฟฟิศทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนได้สะดวกและรวดเร็ว หากต้องการอะไรก็สามารถเดินไปสะกิดเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ เราได้เลย ขณะที่เมื่อเราทำงานจากที่บ้าน การจะติดต่อพูดคุยเรื่องงานกับใครสักคน จำเป็นต้องรอเพื่อนร่วมงานรับโทรศัพท์ หรือประชุมใน Zoom Meeting ก่อน จึงจะเริ่มงานได้ ทำให้การทำงานไม่คล่องตัวและเกิดความล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น 

เพราะฉะนั้น การติดต่อสื่อสารที่สะดวกสบาย ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลมาแรง ที่ทำให้คนอยากกลับไปทำงานออฟฟิศในท้ายที่สุด

เหตุผลข้อที่ 3: “พอกันทีกับชุดนอน อยากแต่งตัวสวย ๆ ไปทำงานแล้ว”

หากมองผิวเผิน เหตุผลข้อนี้คงจะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่ในการจะกลับไปทำงานออฟฟิศ แต่จริง ๆ แล้ว การลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัว ก็เป็นตัวแบ่งแยกชีวิตการทำงานที่ชัดเจนว่า ‘ถึงเวลาที่ต้องทำงานแล้วนะ’ เพราะ เมื่อเราทำงานแบบ Work From Home ไม่มีใครมาบังคับเราให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวหรอก จนท้ายที่สุด เราก็มักจะจบลงด้วยการทำงานในชุดนอนตลอดทั้งวัน 

เพราะฉะนั้น สำหรับบางคนแล้ว การได้แต่งตัวสวย ๆ ออกไปทำงาน เป็นเหมือนสัญญะอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาพร้อมทำงานในแต่ละวันนั่นเอง

เหตุผลข้อที่ 4: “ชั้นคิดถึงเครื่องทำกาแฟสด และ Wi-Fi ฟรีไม่อั้นอยู่ตลอดเวลา”

การไปทำงานออฟฟิศนั้น สวัสดิการอย่างหนึ่งที่มนุษย์ออฟฟิศอย่างเรามักจะได้ คือ การมีกาแฟให้ดื่มฟรีในทุก ๆ เช้า และสามารถใช้ Wi-Fi ได้ตลอดเวลา ซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นการทำงานที่มีความสุขมาก ยิ่งกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากค่าน้ำค่าไฟ ที่เราต้องจ่ายเองเมื่อทำงานจากบ้านแล้ว การไปทำงานออฟฟิศยังสามารถช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้ดีอีกด้วย

เหตุผลข้อที่ 5: “ที่บ้านไม่ได้มีอุปกรณ์สำหรับการทำงานที่ครบครันเหมือนออฟฟิศ”

สำหรับเหตุผลข้อสุดท้ายนั้น แน่นอนว่า ออฟฟิศนั้นมีอุปกรณ์สำหรับการทำงานครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ จอโปรเจคเตอร์ และอื่น ๆ อีกมากมายในที่เดียวกัน ขณะที่หลายคนไม่ได้มีอุปกรณ์เหล่านี้แบบครบครันที่บ้าน ทำให้เมื่อเราจำเป็นต้องสิ่งเหล่านี้ในการทำงานจึงเป็นไปได้ยาก 

เหตุผลข้อที่ 6: “ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงาน จนลืมกันไปแล้วว่าหน้าตาของเพื่อนเป็นยังไง”

การต้องทำงานจากห้องสี่เหลี่ยมเดิม ๆ โดยไม่ได้พูดคุยกับผู้คนมากนัก อาจทำให้ชีวิตการทำงานของเราเหี่ยวเฉาได้ และถึงแม้ว่าเทคโนโลยีสื่อสารในปัจจุบันจะก้าวล้ำไปไกลแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การพบปะเพื่อนฝูงและเจอเพื่อนร่วมงานแบบตัวต่อตัว ย่อมเหมาะกับมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเรามีเพื่อนร่วมงานและทีมที่ดี 

เพราะฉะนั้น การกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้กลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง และไม่ต้องทนโดดเดี่ยวเดียวดายในบ้านหลังเล็ก ๆ อีกต่อไป

อ้างอิง: Huffpost