คน Gen Z ลาออกจากงานเก่า แต่ยังต้องมานั่งเสียใจกับงานใหม่ | Techsauce
คน Gen Z ลาออกจากงานเก่า แต่ยังต้องมานั่งเสียใจกับงานใหม่

กรกฎาคม 22, 2022 | By Connext Team

ปัจจุบันคน Gen Z ถือว่ามีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มแรงงาน พวกเขาพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงและหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่คนวัย Millennials ปฏิบัติกันมา โดยผลักดันให้เกิดวิถีปฏิบัติใหม่ในที่ทำงานและเรียกร้องการมี Work-Life Balance ที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้หัวหน้าที่อยู่ในวัย Millennials เริ่มหวั่นกลัว Emma Goldberg นักข่าว The New York Times กล่าว

พวกเขาเรียกร้องขอหยุดงานหากมีปัญหาสุขภาพจิต ทำงานน้อยลงหากงานที่มอบหมายของวันนั้นทำเสร็จแล้ว และจัดตารางเวลาการทำงานได้เอง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือว่าแตกต่างจากสิ่งที่คนวัย Millennials คุ้นชินอย่างมาก Emma Goldberg กล่าว

Gen Z ลาออก

คน Gen Z ไม่ชอบสภาพแวดล้อมการทำงานในปัจจุบัน

การระบาดของโควิด-19 ทำให้คนอเมริกันที่หมดไฟและทำงานหนักเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของตัวเอง พนักงาน Gen Z รวมไปถึง Millennials กำลังส่งเสียงความคับข้องใจเหล่านี้ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ 

“ฉันอยู่ในสังคมที่ Productivity สำคัญกว่าชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งทำให้ฉันหดหู่และเครียดตลอดเวลา” ผู้ใช้งาน TikTok รายหนึ่งกล่าว “ข้างนอกฉันยิ้มแย้มแต่ข้างในเจ็บปวด ฉันทำงาน 3 งาน แต่รู้สึกว่ายังไม่พออยู่ดี”

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมปี 2021 การสำรวจของ Bankrate พบว่า จำนวนพนักงาน Gen Z และ Millennials ที่วางแผนจะหางานใหม่ในปีหน้ามีมากกว่า Boomers เกือบสองเท่าตัว ต่อมาในเดือนสิงหาคม การศึกษาของ Personal Capital และ The Harris Poll พบว่า 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันที่ได้สำรวจความคิดเห็นบอกว่าอยากเปลี่ยนงานใหม่ ซึ่งคน Gen Z กว่า 91% และคนรุ่น Millennials มากกว่า 1 ใน 4 มีความคิดเช่นนั้น

แนวโน้มดังกล่าวยังคงดำเนินเรื่อยมาจนถึงปี 2022 หลังรายงานล่าสุดของ Lever ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของคนที่ทำงานเต็มเวลาจำนวน 1,200 คนพบว่า 65% ของคน Gen Z วางแผนจะลาออกจากงานภายในปีนี้  

การบังคับให้เข้าออฟฟิศเต็มเวลาทำให้คน Gen Z อยากลาออกจากงาน

รายงานใหม่จากสถาบันวิจัย ADP เรื่อง People at Work 2022: A Global Workforce View ซึ่งสำรวจพนักงานกว่า 32,000 คนทั่วโลกพบว่า 71% ของคนอายุ 18-24 ปีกล่าวว่า พวกเขาจะหางานอื่นหากนายจ้างบังคับให้เข้าออฟฟิศเต็มเวลา” และเมื่อดูโดยรวมแล้ว 64% ของแรงงานทั้งหมดก็กล่าวแบบเดียวกัน

Erifili Gounari ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัท The Z Link วัย 22 ปี  ได้กล่าวกับ Insider ก่อนหน้านี้ว่า “เราให้ความสำคัญกับเสรีภาพและความยืดหยุ่นมากกว่าสิ่งใด ดังนั้น สำหรับฉันแล้ว การให้ทุกคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีกว่า เนื่องจากทุกคนรู้สึกเป็นอิสระมากกว่า”

เมื่องานใหม่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ Gen Z คิด

จากการสำรวจพนักงาน 2,500 คนของ The Muse เมื่อต้นปี 2022 ที่ผ่านมาพบว่า 72% ของผู้หางานกล่าวว่าพวกเขาเกิดอาการตะลึงหลังเริ่มงานใหม่ Kathryn Minshew ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ The Muse กล่าวว่า มันคือการเริ่มงานใหม่เพื่อมาค้นพบว่าตำแหน่งงานหรือบริษัทนั้นๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ซึ่งทำให้คน Gen Z เกิดความงงงันและเสียใจ

อีกทั้งการสำรวจ Harris Poll ของ USA Today ซึ่งสอบถามความคิดเห็นผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 2,000 คน ยังพบว่า 20% ของคนที่ลาออกในช่วงที่เกิดกระแสการลาออกระลอกใหญ่ (Great Resignation) หลังมีการระบาดของโควิด-19  รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง บางคนกล่าวว่าพวกเขาถูกงานใหม่ล่อลวงด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยด้านอื่น ๆ พวกเขาสูญเสีย Work-Life Balance แถมงานใหม่ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

สภาพแวดล้อมในการทำงานมาก่อนเงินเดือน 

ตามรายงานของ Firstup แอปพลิเคชันสำหรับสื่อสารในที่ทำงาน พบว่า Gen Z ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และความเป็นอยู่ที่ดี พวกเขามองหาบริษัทที่มีสวัสดิการอย่างเช่น การได้รับค่าจ้างในวันลางาน หรือการสามารถลางานได้หากมีปัญหาสุขภาพจิต เป็นต้น โดยรายงานของ Deloitte ที่สำรวจคน Gen Z และ Millennials จำนวน 23,000 คน พบว่า 46% ของ Gen Z รู้สึกเครียดและวิตกกังวล ดังนั้น คนเหล่านี้จึงต้องการนายจ้างที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพจิตของพนักงาน

นอกจากนี้ พนักงาน Gen Z ยังต้องการที่ทำงานที่มีความหมายต่ออาชีพการงานและต่อโลกใบนี้ รายงานของ Lever พบว่า 42% ของคน Gen Z เลือกที่จะอยู่ในบริษัทที่ทุกคนรู้เป้าหมายชัดเจนมากกว่าบริษัทที่ให้ค่าจ้างมากกว่า และพวกเขายังต้องการทำงานให้กับบริษัทที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาความยุติธรรมทางสังคมอีกด้วย

จากการศึกษา Workmonitor Global ของ Randstad ซึ่งได้สำรวจพนักงานจำนวน 35,000 คน พบว่า 56% ของคน Gen Z กล่าวว่า พวกเขาพร้อมจะลาออกหากงานนั้นรบกวนชีวิตส่วนตัว นอกจากนี้ พนักงานเหล่านี้เกือบครึ่งหนึ่งกล่าวว่าพวกเขาจะไม่ทำงานในบริษัทที่มีแนวคิดด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่สอดคล้องกับพวกเขา

โดยสรุปแล้วจะเห็นว่าคน Gen Z มีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและผลักดันให้เกิดวิถีปฏิบัติใหม่ในที่ทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับโลกในยุคปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักเรื่อง Work-Life Balance และสุขภาพจิตกันมากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนรุ่นก่อนหน้านี้จะลองเปิดใจรับฟังความเห็นและความต้องการของ Gen Z เพื่อที่ทุกคนจะสามารถหาทางออกร่วมกันและทำงานได้อย่างมีความสุข

เขียนโดย Parinya Putthaisong

อ้างอิง businessinsider 

No comment