56% ของ Gen Z ไม่มีเงินเก็บฉุกเฉิน เหตุมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น | Techsauce
56% ของ Gen Z ไม่มีเงินเก็บฉุกเฉิน เหตุมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น

กุมภาพันธ์ 9, 2024 | By Connext Team

เพื่อน ๆ คิดว่า Emergency fund หรือเงินสำรองฉุกเฉินสำคัญหรือไม่

โดยเฉพาะชาว Gen Z ถ้ายังไม่มั่นใจว่าสำคัญจริงหรือเปล่า? ลองคิดภาพตามว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อนและปัญหานี้จะจบลงได้คือต้องใช้เงิน แต่ถ้าเราไม่มีเงินล่ะจะทำอย่างไร ต้องไปยืมเงินคนอื่นหรือควรไปกู้เงินรึเปล่า

Gen Z เกินครึ่ง!  ไม่มีเงินเก็บฉุกเฉิน ต้นเหตุเกิดจากค่าครองชีพสูงเกิ๊น

ทางออกที่ดีที่สุดไม่ใช่การรอแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน แต่ทางออกที่ดีที่สุดคือการที่เราพร้อมแก้ปัญหาตลอดเวลาหรือเปล่า? อ่านมาถึงตรงนี้เพื่อน ๆ คงเริ่มเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมว่า Emergency fund สำคัญอย่างไรและทำไมเราถึงต้องมีเงินก้อนนี้สำรองไว้ ถ้าอยากรู้คำตอบก็มาอ่านบทความนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย

ทำไมต้องมีเงินสำรองฉุกเฉิน

จากการสำรวจของ Bank of America พบว่าเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้คนมีเงินสำรองฉุกเฉินยากขึ้นโดยเฉพาะ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 

56% ของคนGen Z บอกว่าพวกเขาไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอที่จะใช้จ่ายใน 3 เดือน จากข้อมูลของ Bankrate หรืออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางให้ข้อมูลว่า Gen Z มีแนวโน้มที่จะลำบากที่สุดถ้าพวกเขาไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเตรียมไว้เลย 

Douglas Boneparth นักวางแผนทางการเงินและประธานของ Bone Fide Wealth บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินกล่าวว่า Gen z ที่มีช่วงอายุ 40 ปี ขึ้นไปและมั่นคงทางการเงินแล้วมีแนวโน้มที่จะมีเงินสำรองฉุกเฉินเพิ่มขึ้นแต่เพราะอาจจะเป็นช่วงวัยกำลังเริ่มต้นทำงานจึงยังไม่รู้ว่าต้องบริหารเงินอย่างไรและเนื่องด้วยปัจจุบันค่าครองชีพได้สูงขึ้น ดังนั้น Boneparth จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนใน Gen Z จึงไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าให้เรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปกตินะ เราควรจะเริ่มตระหนักได้แล้วว่าการมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นเรื่องที่สำคัญและควรเริ่มเก็บเงินไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่าเพราะจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังถ้าเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นกับเรา

Boneparth กล่าวเสริมว่าแม้ในตอนนี้เราอาจจะคิดว่าการมีเงินเก็บเป็นเรื่องไม่สำคัญแต่เชื่อไหมว่าการมีเงินเก็บจะช่วยให้ฐานะทางการเงินของเรามั่นคงขึ้นและถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกับเราจะกลับมาขอบคุณตัวเองทันทีที่ยอมตั้งใจเก็บเงินและสามารถนำเงินในส่วนนั้นมาใช้แก้ปัญหาได้โดยที่เราไม่ต้องยืมเงินใครหรือต้องไปกู้หนี้

ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไหร่จึงจะสบายใจได้

โดยปกติแล้วผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหลายคนจะแนะนำว่าให้มีเงินสำรองฉุกเฉินประมาณ 3 – 6 เท่าของรายจ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือน แต่ Boneparth กลับเห็นต่างเขาแนะนำว่าให้เรามีเงินสำรองฉุกเฉินประมาณ 6-9 เท่าของรายจ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือนเพื่อที่เราจะได้มีเงินสำรองฉุกเฉินมากพอสามารถรองรับเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างสบายใจเพราะไม่มีใครรู้ว่าในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง

เริ่มต้นเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างไรให้สำเร็จ

Boneparth แนะนำว่าให้เราเริ่มต้นจากการตรวจสอบรายรับ-รายจ่ายย้อนหลังของเราในช่วง 3 เดือน หรือ 6-12 เดือน เพื่อดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ ได้เงินมายังไง และเราใช้เงินไปกับอะไรบ้างเพราะการที่รู้ว่ารายรับ-รายจ่ายของเราเป็นอย่างไรจะช่วยทำให้เก็บเงินได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น เราตัดสินใจว่าในแต่ละเดือนจะใช้เงินแค่ 5,000 บาท ซึ่งมีรายรับเดือนละ 6,000 บาท ให้ลองคิดดูว่าเราสามารถเก็บเงิน 1,000 บาททุกเดือนได้ไหมเพราะถ้าเราอยากมีเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเราต้องมีวินัยในการเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน เพราะฉะนั้นวินัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

Boneparth ยังกล่าวว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการเก็บเงินคือการบริหารเงินให้เรามีความสุขในการใช้เงินพร้อมกับเก็บเงินไปด้วย เพราะถ้าใช้เงินมากเกินไปก็จะมีเงินเก็บน้อยและถ้าเก็บเงินมากเกินไปก็จะใช้ชีวิตลำบาก หากเราสามารถบริหารเงินให้ตัวเองมีความสุขในการใช้ชีวิตได้ก็นับว่า Complete ในการบริหารเงินแล้ว

เพื่อน ๆ รู้กันแล้วใช่ไหมว่าการมีเงินเก็บนั้นสำคัญมากแน่นอนว่าเรามีสิทธิ์ที่จะใช้เงินได้เต็มที่เพราะนี่คือเงินของเราและกว่าจะหาเงินมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง จะดีกว่าไหมถ้าเราเลือกที่จะใช้เงินอย่างมีสติมากขึ้นและแบ่งเงินไว้เก็บบ้างบางส่วนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างน้อยเราก็ได้ทุกข์น้อยลงเพราะมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้แล้ว เพราะฉะนั้นมาเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วันนี้กัน!

เขียนโดย : Monnapha Wangchanakul 

อ้างอิง: cnbc

No comment