จากงานวิจัยล่าสุดของ World Health Organization หรือ WHO พบว่า การทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนมากมายต้องเผชิญกับภาวะเส้นเลือดในสมองแตกและหัวใจวายเฉียบพลัน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากการทำงานกว่า 7.5 แสนคนต่อปี
งานวิจัยชิ้นนี้ยังระบุอีกว่า เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานเพียง 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คนที่ทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะเส้นเลือดในสมองแตกมากกว่า 35% และหัวใจวายเฉียบพลันมากกว่า 17% อีกด้วย
WHO คาดการณ์ว่าในอนาคต ผู้คนจะมีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้นไปอีก จากเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ที่ทำให้ผู้คนมากมายสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา รวมไปถึงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่เป็นตัวเร่งให้แนวคิดการทำงานแบบ Work From Home ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และนั่นหมายความว่า สุขภาพทั้งกายและใจของคนวัยทำงานก็มีแนวโน้มที่จะแย่ลงตามไปด้วย
Tedros Adhanom Ghebreyesus Director-General ของ WHO กล่าวว่า “Work From Home กลายเป็นสิ่งที่คนทำงานทั่วไปทำกันในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ผู้คนมากมายต่างค่อยๆสูญเสียเส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวลงไปเรื่อยๆ องค์กรธุรกิจมากมาย ต่างถูกบีบบังคับจากการแพร่ระบาดให้ลดขนาดองค์กรลงเพื่อประหยัดต้นทุน ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ต้องทำงานในจำนวนชั่วโมงที่นานขึ้น เพื่อทดแทนคนที่สูญเสียไป”
เขายังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า “ไม่มีงานไหนคุ้มค่า จะแลกกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตกและหัวใจวายเฉียบพลันหรอก รัฐบาล ผู้ว่าจ้าง และลูกจ้าง จำเป็นจะต้องหาทางออกร่วมกันในการกำหนดชั่วโมงทำงานเพื่อรักษาสุขภาพของคนทำงานทุกคน”
นอกจากความเสี่ยงต่อการเผชิญกับโรคร้ายแรงต่างๆแล้ว การทำงานหนักเป็นเวลานาน ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านอื่นๆตามมา เช่น ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout จากการทำงานอย่างหนัก ซึ่งทำให้เรามีโอกาสเป็นหวัดและไข้บ่อยขึ้น และโรคเรื้อรังต่างๆ อย่างอาการปวดหัว ภาวะนอนไม่หลับ ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ หรือทางด้านสุขภาพจิตก็อาจจะนำไปสู่โรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงได้เลยทีเดียว
ท้ายที่สุด งานวิจัยชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้คนมากแค่ไหน เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาล ผู้ว่าจ้าง ลูกจ้าง และพวกเราทุกคนจะตระหนักถึงความสำคัญของ Work-Life-Balance และหาทางออกร่วมกัน เพื่อการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป
อ้างอิง: Huffpost