“งานหนักไม่เคยทำร้ายใคร” ไม่จริง! กรณีศึกษาวัฒนธรรมการทำงาน 996 | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
“งานหนักไม่เคยทำร้ายใคร” ไม่จริง! กรณีศึกษาวัฒนธรรมการทำงาน 996
By Siramol Jiraporn มกราคม 31, 2022
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

“งานหนักไม่เคยทำร้ายใคร” คุณเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่? สำหรับใครที่เห็นด้วยคงถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่ และหันมามองความจริงอีกด้านว่า การทำงานหนักเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใครหลายคนต้องถวายชีวิตเพื่อแลกกับเงิน 

ผู้มีอำนาจทั้งหลายกำลังแสวงหาประโยชน์จากพนักงานตัวเล็กๆ ด้วยการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ละเลยสุขภาพทั้งกายและใจของพนักงาน และหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ วัฒนธรรมการทำงาน ‘996’ ของประเทศจีน

วัฒนธรรมการทำงาน 996 ของจีน

วัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 คืออะไร?

996 เป็นวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทในประเทศจีนที่มีการส่งเสริมหรือบังคับให้พนักงานต้อง ‘ทำงานหนัก’ 

  • 9 = 9 a.m. คือ การให้พนักงานทำงานตั้งแต่ 9.00 น.
  • 9 = 9 p.m. คือ การให้พนักงานทำงานถึง 21.00 น.
  • 6 = การให้พนักงานทำงาน 6 วัน/สัปดาห์

พูดง่ายๆ ก็คือ การให้พนักงานทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 3 ทุ่ม เป็นเวลา 6 วัน/สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่แล้ววัฒนธรรมการทำงานแบบนี้จะเป็นเรื่องปกติในบริษัทสายเทคและสตาร์ทอัพของประเทศจีน แม้ว่าจีนจะมีกฎหมายห้ามการทำงานลักษณะนี้ แต่ก็เป็นกฎหมายที่มีความหละหลวม ทำให้หลายบริษัทบังคับใช้เวลาการทำงาน 996 ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ

Blogger ท่านหนึ่งบน Weibo (แพลตฟอร์มของประเทศจีนที่คล้ายทวิตเตอร์) กล่าวว่า “การทำงานล่วงเวลาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ คนรุ่นใหม่หลายคนชินกับเรื่องนี้และไม่กล้าประท้วง เพราะรู้ว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

มุมมองจากผู้บริหารที่สนับสนุนการทำงานหนัก

“วัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลาของจีนที่เรียกว่า ‘996’ นี้ เป็นพรอันยิ่งใหญ่สำหรับคนทำงานวัยหนุ่มสาว” Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba กล่าว “มีหลายบริษัทและหลายคนที่ไม่ได้ทำงานแบบ 996 ถ้าไม่ทำงานหนักตอนยังเป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วจะมีโอกาสได้ทำงานแบบนี้ตอนไหนอีก” 

เขายังกล่าวอีกว่าถ้าทำงาน 8 ชั่วโมงแต่ไม่ได้รักงานนั้นก็ทำให้ทุกวินาทีในการทำงานเป็นช่วงเวลาแห่งความทรมาน และหากทำงาน 12 ชั่วโมงแต่เป็นการทำในสิ่งที่รัก เรื่องเวลาก็ไม่ใช่ปัญหา 

Richard Liu ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง JD.com ก็ได้ออกมาสนับสนุนสิ่งที่ Jack Ma เคยกล่าวไว้เช่นกัน

ไม่ได้มีแค่ผู้บริหารสองบริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก แต่ยังมี Elon Musk ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Tesla Motors ผู้ซึ่งผ่านการทำงานหนักและนอนน้อยมาแล้ว ได้สนับสนุนการทำงานหนักว่า “ไม่มีใครเปลี่ยนโลกได้โดยใช้เวลาเพียง 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ แต่ผู้คนจะต้องทำงาน 80 หรือ 100 ชั่วโมง/สัปดาห์เพื่อสร้างอิมแพคที่ยิ่งใหญ่”

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองของผู้บริหารที่มีต่อวัฒนธรรมการทำงานหนักว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้ก้าวนำผู้อื่นและสร้างอิมแพคได้มากกว่าด้วยการใช้เวลาในการทำงานที่มากกว่า ซึ่งเขาเหล่านี้ก็เคยผ่านช่วงเวลานั้นกันมาแล้ว แต่นี่เป็นเพียงมุมมองด้านหนึ่งเท่านั้น 

การทำงานหนัก (แม้แต่การทำงานที่รัก) ไม่เคยทำร้ายใครจริงหรือ?

หลายคนอาจคิดว่าการทำงานหนักเป็นหลักประกันให้กับอาชีพการงานของตัวเอง เพราะเมื่อทุ่มเทแรงกายและแรงใจไปกับการทำงาน ก็จะได้รับสิ่งตอบแทนที่คุ้มค่าและเป็นที่จับตามอง แล้วทำไมถึงมีหลายบริษัททั่วโลกที่ให้ทำงาน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ โดยไม่บังคับให้พนักงานทำงานหนักอย่างที่ Jack Ma, Richard Liu หรือ Elon Musk กล่าวไว้ 

เหตุผลง่ายๆ ที่สามารถเห็นได้ชัดและสามารถพิสูจน์ได้ก็เป็นเพราะ ‘การทำงานหนัก = การทำลายสุขภาพ’ เมื่อพนักงานทำงานหนัก หมายความว่าเขาจะไม่มีเวลาในการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เช่น ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลานอนหลับให้เพียงพอ หรือไม่มีเวลากินอาหารดีๆ การข้ามสามองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชีวิตมีสุขภาพดี ก็จะนำไปสู่การเจ็บป่วย นอกจากป่วยกายแล้ว ก็อาจทำให้ป่วยใจได้อีก

ผลการศึกษาจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ให้เห็นว่า ในปี 2016 มีคนเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง 398,000 คน และโรคหัวใจ 347,000 คน เป็นผลมาจากการทำงาน 55 ชั่วโมง/สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ 

โดยผลการศึกษาสรุปว่า การทำงาน 55 ชั่วโมง/สัปดาห์ขึ้นไป มีความสัมพันธ์ที่ทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น 35% และมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดสูงขึ้น 17% เมื่อเทียบกับการทำงาน 35-40 ชั่วโมง/สัปดาห์ ทำให้อนุมานได้ว่า การทำงานหนัก แม้แต่การทำงานที่รัก ก็สามารถทำร้ายผู้คนได้

ตัวอย่างในประเทศจีนก็มีให้เห็นแล้วว่า การทำงานแบบ 996 ไม่ได้ดีอย่างที่คิด โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับพนักงานหญิงวัย 22 ปี จาก Pinduoduo บริษัทอีคอมเมิร์ซใหญ่สุดในประเทศจีน เธอได้เริ่มทำงานที่บริษัทนี้เพียง 6 เดือน วันหนึ่งช่วงหลังเลิกงานและกำลังเดินทางกลับบ้านตอนตี 1 เพื่อนร่วมงานก็เห็นว่าเธอจับท้องก่อนที่จะล้มลงไป 

แม้ว่าแพทย์จะพยายามช่วยชีวิตถึง 6 ชั่วโมง แต่ต่อมาเธอก็ได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล ผู้คนเชื่อว่าการเสียชีวิตของเธอเป็นผลมาจากการทำงานหนัก เพราะบริษัทเทคขึ้นชื่อเรื่องการสนับสนุนการทำงานแบบ 996 มาเป็นเวลานาน 

วัฒนธรรมองค์กรที่มั่นคงและแข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตระยะยาว ดังนั้นสุขภาพของพนักงานจึงเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

เทรนด์การทำงานยุคใหม่ ‘Work-life balance’ สำคัญกว่า ‘เงิน’

ผลการสำรวจโดย GOBankingRates เผยว่า 42% ของคนทำงาน Gen Z ที่อายุประมาณ 18-24 ปี ให้ความสำคัญกับ Work-life balance การทำงานจากที่บ้าน และการมีวันหยุดที่ยืดหยุ่น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการหางาน ลำดับอื่นๆ ได้แก่ ความหลงใหลในอาชีพ 19.6% และเงิน 16.5%

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เพราะคน Gen Z จำนวนมากให้ความสำคัญกับ Work-life balance มากกว่าสวัสดิการอื่นๆ บริษัทต่างๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับเทรนด์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง Great Resignation หรือการลาออกครั้งใหญ่ที่ทำให้บริษัทต่างๆ เสียคนเก่งไปและต้องแข่งขันแย่งชิงผู้มีความสามารถมากขึ้น

คน Gen Z เรียกได้ว่าเป็นอนาคตแรงงานที่สำคัญของประเทศและเติบโตมาท่ามกลางความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้คน Gen Z เห็นความเครียดและความกดดันจากการทำงานมาอย่างใกล้ชิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว 

จากเทรนด์การทำงานของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้หลายบริษัททั่วโลกเริ่มปรับตัวให้เท่าทันความต้องการที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ทิศทางการทำงานของจีนที่กำลังเปลี่ยนไป

ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok สั่งให้พนักงานในประเทศจีนทำงานเสร็จไม่เกิน 19.00 น. โดยพนักงานต้องทำงานตั้งแต่ 10.00 ถึง 19.00 ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เรียกได้ว่าเป็นการต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 อย่างเห็นได้ชัด

โดยนโยบายใหม่ของ ByteDance เกิดขึ้นหลังจากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงาน 996 ว่าทำให้ไม่มี Work-life balance อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเครียด และสำหรับใครที่ต้องการทำงานล่วงเวลาจะต้องขออนุญาตทางบริษัทก่อน 1 วัน โดยจะสามารถทำงานล่วงเวลาได้ 3 ชั่วโมงในวันธรรมดา 8 ชั่วโมงในวันเสาร์-อาทิตย์ และจะได้รับค่าจ้างเพิ่มถึง 3 เท่าจากปกติ

นี่ถือได้ว่าเป็นทิศทางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการทำงานแบบ 996 ที่มีมาอย่างยาวนานสู่การทำงานแบบ 1075 แสดงให้เห็นถึงการที่ผู้มีอำนาจหันมาให้ความสำคัญกับพนักงานตัวเล็กๆ มากขึ้น 

แม้แต่ญี่ปุ่นที่ให้คุณค่ากับการทำงานหนักยังเริ่มหันมาทำงาน 4 วัน/สัปดาห์

‘ญี่ปุ่น’ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมการทำงานหนักอย่างเข้มข้น จนมี Karoshi Syndrome หรืออาการทำงานหนักจนตายเกิดขึ้น 

สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงกับนักข่าววัย 31 ปี นามว่า Miwa Sado เธอได้ทำงานล่วงเวลาถึง 105 ชั่วโมง/เดือน ก่อนเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว และมีผู้คนอีกมากมายที่ต้องถวายชีวิตให้กับการทำงานหนัก

โดยการทำงานหนักในประเทศญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นความขยัน และหัวหน้ามักชอบให้พนักงานเข้างานก่อนเวลาและเลิกงานดึก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พนักงานจะต้องทำงานเป็นเวลานาน

แต่เมื่อไม่นานมานี้บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Panasonic ประกาศให้พนักงานทำงาน 4 วัน/สัปดาห์เป็นบริษัทแรก เพื่อสนับสนุนสุขภาวะของพนักงาน 

รัฐบาลญี่ปุ่นก็สนับสนุนและแนะนำบริษัทต่างๆ สามารถเลือกทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ได้ เพื่อสร้าง Work-life balance ให้กับการทำงานของประเทศ

ในท้ายที่สุด หลายคนก็คงได้รู้แล้วว่าการทำงานหนักไม่ได้ดีอย่างที่คิด อีกทั้งยังส่งผลร้ายต่อชีวิตมากกว่าที่คิดด้วย ใครที่กำลังอยู่ในองค์กรที่เอาเปรียบเราอยู่ ก็ถึงเวลาที่ต้องฉุกคิดได้แล้วว่า เราทำงานเพื่อใช้ชีวิต หรือมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานกันแน่

และสำหรับผู้มีอำนาจทั้งหลายก็ถึงเวลาที่ต้องฉุกคิดแล้วเช่นเดียวกันว่า แม้พนักงานจะดูเหมือนเป็นฟันเฟืองเล็กๆ แต่ก็เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้องค์กรเติบโต หากผู้นำไม่ใส่ใจดูแล แล้วในอนาคตจะเหลือใครไว้ช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ

ที่มา - SCMP, Lifehack, Yahoo Finance, Business Insider (1), (2), (3), (4), (5)(6)


No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/life-hacks/996-work-culture