“ทำงานหนักแล้วจะประสบความสำเร็จ” วลีที่คุ้นหูสำหรับใครหลายคน ค่านิยมที่ส่งต่อกันมาเป็นทอด ๆ ผ่านการปลูกฝังตามสื่อต่าง ๆ จนนำให้ “การทำงานหนัก” กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน
แต่รู้หรือไม่? การทำงานหนักแบบไม่คิดชีวิต ทุ่มเททั้ง 24 ชั่วโมงให้การทำงาน จนไม่มีเวลาพักผ่อนให้ตัวเองนั้น สุดท้ายแล้วอาจทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงความเป็นอยู่และสุขภาพที่อาจแย่ลง
จากงานวิจัยมากกว่า 80 ฉบับ ระบุว่า การพักผ่อนสั้น ๆ ในที่ทำงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น
“การหยุดพัก” ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานอย่างไร?
หลายคนยอมทำงานหนัก เพราะอยากให้งานเสร็จเร็ว ๆ จนลืมไปว่าร่างกายก็ต้องการการพักผ่อนเหมือนกัน
ต้องบอกว่าร่างกายมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ที่จู่ ๆ พังแล้วจะหาอะไหล่มาซ่อมได้ทันที
เช่นเดียวกับการทำงาน เมื่อไหร่ก็ตามที่เรานั่งทำงาน จดจ่ออยู่กับสิ่งเดิม ๆ นานเกินไป อาจทำให้สมองล้า จนร่างกายหมดแรงได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นการหยุดพักทำงานเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาที เช่น การลุกไปเข้าห้องน้ำ ไปดื่มน้ำ ไปเดินเล่น หรือไปนั่งพักชั่วคราว ก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยลดอาการตึงเครียดในการทำงานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้
หยุดพักแบบไหนมีประสิทธิภาพต่อพนักงาน
1. มีการแบ่งเวลาทำงานชัดเจน
การหยุดพักเป็นเวลานาน ๆ ไม่ได้การันตีว่าเราจะทำงานได้ดีขึ้น แต่การออกไปพักเป็นระยะๆ (แต่ทำประจำ) จะช่วยได้ป้องกันความเหนื่อยล้าและช่วยพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากกว่า
ฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเครียดกับงานหรือคิดงานไม่ออก เราสามารถพาตัวเองออกไปเดินเล่น ยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดอาการล้าจากการทำงานได้
2. มีสถานที่พักผ่อนที่ดี
หลายคนอาจพักผ่อนด้วยการเล่นโทรศัพท์อยู่โต๊ะทำงานของตัวเอง แต่จากผลสำรวจชี้ว่าการออกไปเดินเล่นนอกสำนักงาน อย่างเช่น Co-working space จะช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าการอยู่ในออฟฟิศ
3. มีกิจกรรมเวลาพักเบรก
การหากิจกรรมทำในเวลาพักเบรกเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี เช่น การออกกำลัง แต่นั่นอาจมีผลเพียงชั่วขณะที่จะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว และมีแรงในการทำงาน แต่เกือบ 97% ของพนักงานมักพักเบรกด้วยการเล่นโซเชียลมีเดีย ซึ่งนักวิจัย ระบุว่า การเล่นโซเชียลมีเดียระหว่างพักเบรกก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ แถมยังลดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การพักประเภทนี้จึงไม่ค่อยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากเท่าไหร่
4. เล่นกับสัตว์เลี้ยง
การมีปฏิสัมพันธ์กับสามารถช่วยลดระดับความเครียดของมนุษย์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสุขภาวะทางจิตใจของพนักงานที่อาจเชื่อมโยงไปยังประสิทธิภาพของการทำงานด้วย
องค์กรมีวิธีส่งเสริม “การพักเบรก” ของพนักงานได้อย่างไร
สร้างทัศนคติที่ดีต่อการหยุดพัก
โดยทั่วไปแล้วการหยุดพักเป็นเรื่องที่ดีของพนักงาน แต่สำหรับหัวหน้าหรือผู้บริหารอาจไม่ได้คิดเช่นนั้นเหมือนเรา
ฉะนั้นหัวหน้าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องส่งเสริมการพักเบรกและเข้าใจว่าประโยชน์ของการพักเบรกนั้นสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานอย่างไร เพื่อให้พนักงานสามารถพักเบรกได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องรู้สึกผิด
หัวหน้าต้องพาตัวเองออกไปพักบ้าง
ในการทำงานแรก ๆ หลายคนอาจจะเกร็งจนไม่กล้าลุกออกจากที่ทำงาน เพราะอาจคิดว่าหัวหน้ากำลังมองเราอยู่แน่ ๆ แต่รู้หรือไม่ว่าหัวหน้าเองก็มีเวลาพักเบรกของตัวเองเหมือนกัน ซึ่งสิ่งนี้นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่ทำให้พนักงานเข้าใจว่าตัวเองก็สามารถพักเบรกจากการทำงานได้
จัดตารางเวลาให้ชัดเจน
องค์กรต้องกำหนดขอบเขตในการทำงานและการพักให้ชัดเจน เพื่อให้พนักงานรู้ว่าเวลาไหนคือเวลาทำงานและเวลาไหนคือเวลาพัก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความยืดหยุ่นให้พนักงานด้วย เพื่อไม่ให้พนักงานรู้สึกเครียดหรือตึงจนเกินไป
มีโซนพักผ่อนให้พนักงาน
การมีพื้นที่พักผ่อนเป็นอีกหนึ่งสวัสดิการที่องค์กรควรมีให้พนักงาน เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเครียดจากการทำงาน นอกจากนี้การใส่ใจสภาพแวดล้อมในการทำงานยังช่วยส่งเสริมให้พนักงานมีประสิทธิในการทำงานเพิ่มขึ้นได้
จะเห็นว่าประสิทธิสิทธิภาพการทำงานของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนได้ เพราะฉะนั้นอยากให้องค์กรหันมาใส่ใจพนักงาน รวมถึงความเป็นอยู่ของพนักงานให้มากขึ้น
อ้างอิง : HBR