เมื่อคุณเป็นคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วัยทำงาน เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกคาดหวัง กระตือรือร้น หรือแม้กระทั่งวิตกกังวล แน่นอนว่าคุณมักจะตั้งความคาดหวังที่เฉพาะเจาะจงกับตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการบรรลุและวิธีที่คุณต้องการเติบโต เพราะทุกคนล้วนเชื่อว่าการทำงานหนักอย่างตั้งใจเป็นระยะเวลานานๆ จะนำไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานได้
แต่จริงๆ แล้วความเป็นจริงกลับไม่ใช่อย่างนั้น เพราะการให้ความสำคัญกับงานมากกว่าสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์มักจะนำไปสู่อาการ Burnt out หรืออาการหมดไฟในการทำงานได้ ถึงแม้ว่าคุณจะย้ายไปทำงานที่อื่น แต่ถ้ายังไม่เลิกทำให้ตัวเองตกอยู่ในวังวนของการทำงานหลายชั่วโมงที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ คุณก็จะยิ่งยากที่จะฟื้นตัวจากผลกระทบระยะยาวของการทำงานที่หนักเกินไป
ทำไมเราถึงรู้สึกผิดกับการให้ความสำคัญของชีวิตมากกว่าการทำงาน ?
ในทางสังคม หลายคนยังคงเปรียบเทียบชั่วโมงการทำงานกับระดับประสิทธิภาพการทำงานของของตัวเอง เพราะเรามักจะถือว่าการทำงานต่างๆ นั้นย่อมส่งผลให้สิ่งต่างๆ เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น จึงทำให้บางคนก็มักจะรู้สึกผิดและแอบตำหนิตัวเองทุกครั้งที่ใช้เวลาในวันหยุดไปกับ "การพักผ่อนเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย" เพราะคุณเลือกที่จะใช้เวลานั้นในการพักผ่อนแทนที่จะวางแผนการทำงาน ซึ่งนี่ถือว่าเป็นความคิดผิดๆ ที่อาจส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจของคุณได้
ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น พนักงานทั่วไปโดยเฉลี่ยคาดว่าจะต้องทำงานเกือบ 14 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลาหกถึงเจ็ดวันต่อสัปดาห์ จนกระทั่งมีการยกเลิกระบบนี้ไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เมื่อ Henry Ford ผู้ก่อตั้ง Ford Motor Company เป็นบริษัทแห่งแรกที่ให้เวลาทำงาน 40 ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ Ford ตัดสินใจปรับเปลี่ยนรูปแบบเวลาในการทำงาน เพราะเขาเชื่อว่าบริษัทจะสามารถขายรถยนต์ให้กับพนักงานได้มากขึ้นหากพวกเขามีเวลาหยุดมากขึ้น
แนวคิดของ “Hustle culture” หรือ วัฒธรรมคลั่งงานได้รับความนิยมในช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในปี 2008 ด้วยการล้มละลายของเศรษฐกิจโลกผลักดันให้ผู้คนต้องทำงานหลากหลายมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด อัตราการว่างงานที่สูงและสภาวะค่าเงินแข็งตัวขึ้นทำให้การทำงานมากเกินไป (Overwork) กลายเป็นเครื่องหมายที่นำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด
แต่ผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดกลับส่งผลให้ทั้งบริษัทและพนักงานต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการทำงานไปตลอดกาล ปัจจุบันนายจ้างได้ยอมปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Work from home หรือแบบ Hybrid และเริ่มตระหนักถึงการมีส่วนร่วมและการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานเพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาพนักงานที่มีศักยภาพและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่พนักงาน ซึ่งส่งผลให้รูปแบบการทำงานนั้นยืดหยุ่นและมีการไว้วางใจระหว่างองค์กรและพนักงานมากขึ้น
ประเด็นคือ คำจำกัดความของ “การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ” ของเรานั้นมีการวิวัฒนาการอย่างมากในช่วง 2 ปีให้หลังนี้ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพโดยไม่กระทบต่อสุขภาพพนักงานมากขึ้น
คุณค่าความสามารถหรือคุณค่าในฐานะ “พนักงาน” สามารถกำหนดได้จากผลลัพธ์ของงานที่ออกมาไม่ใช่เพียงระยะเวลาในการทำงานอีกต่อไป เพราะฉะนั้นต่อไปนี้คุณต้องสลัดความคิดรู้สึกผิดกับการให้ความสำคัญของชีวิตเรามากกว่าการทำงาน แล้วหันมาสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและงานอย่างยั่งยืนโดยให้ความสำคัญกับตัวคุณ สุขภาพ และความสุขของคุณเป็นอันดับแรก
วิธีจัดลําดับความสําคัญของตัวเอง
แม้ความต้องการของผู้คนบนโลกจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนก็ต้องการอย่างชัดเจนเลยคือ การดูแลเอาใจใส่สุขภาพตัวเอง คุณควรให้ความสำคัญกับตัวเองเพื่อจะดึงศักยภาพของคุณออกมาได้เต็มที่ ถ้าคุณเริ่มสร้างพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพเร็วเท่าไร คุณจะเติมเต็มความสุขของคุณได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น
และนี่คือ 4 สิ่งที่คุณจะสามารถนำมาปรับมาใช้เพื่อให้ชีวิตคุณได้มีเวลากับตัวเองมากขึ้นโดยไม่ส่งผลกระทบกับการเติบโตในอาชีพ
1. หาเวลาว่างที่จะไม่ทำอะไรเลย
ลองปล่อยตัวเองให้มีเวลาว่างบ้างโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้ายังคิดมากอยู่ให้ลองแก้โดยเขียนความคิดของคุณลงไปในกระดาษเพื่อเป็นการระบายความคิดให้สมองโล่งขึ้น
2. รู้จักที่จะปฏิเสธ
การปฏิเสธไม่ได้แย่เสมอไป เรียนรู้ขีดจำกัดที่คุณสามารถทำได้ กำหนดขอบเขตเพื่อให้คุณได้เข้าใจถึงความสามารถและยอมรับขีดจำกัดของตัวเอง เพื่อที่จะได้รู้ว่างานไหนที่คุณมีความกระตือรือร้นและมีแรงจูงใจที่จะทำจริง แม้จะทำได้ยากแต่การมีทักษะในการปฏิเสธอย่างสุภาพส่งผลดีต่อตัวเราเองและเพื่อนร่วมงานอีกด้วย
3. ควรแยกระหว่างการทำงานและชีวิตคุณออกจากกัน
อาจจะยากหน่อยสำหรับผู้ที่ทำงานแบบ Hybrid หรือห่างไกลจากที่ทำงาน แม้ว่าการได้ทำงานอยู่ที่บ้านจะทำให้เกิดความยืดหยุ่นและผ่อนคลาย แต่ก็ทำให้ยากต่อการวาดขอบเขตที่ระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวด้วยเช่นกัน
แต่คุณสามารแก้ปัญหาได้โดยกำหนดขอบเขตกับพื้นที่ในบ้านของคุณแบ่งพื้นที่ที่ใช้ทำงานเฉพาะ โดยควรหลีกเลี่ยงการใช้โซฟาหรือที่นอนเพราะพื้นที่นี้ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง
4. เข้าใจว่างานมีความหมายกับคุณอย่างไร?
คุณต้องการอะไรจากอาชีพที่คุณทำอยู่? อาจจะเป็นคำถามที่น่าฉงนแต่ก็เพื่อจะได้เห็นความชัดเจนของสิ่งที่คุณต้องการ เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานระยะยาวเพื่อที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายที่แท้จริงได้ เพราะฉะนั้นคุณจึงควรทำความเข้าใจเป้าหมายและวิสัยทัศน์ในอาชีพคุณ
เพราะฉะนั้นแล้วบนโลกนี้ไม่มีคำจำกัดความว่าเวลาใดที่เหมาะสมที่สุดที่จะดูแลตัวเอง ลองใส่ใจที่จะเรียงลำดับความสำคัญชีวิตและสุขภาพของคุณกับการทำงาน เพราะยิ่งคุณดูแลใส่ใจกับตัวเองมากเท่าไร คุณก็จะเริ่มรู้สึกดีไปกับการทำงานและไม่แน่คุณอาจจะค้นพบ Career path และเป้าหมายทางอาชีพใหม่ๆ กับสายงานอาชีพคุณก็เป็นได้
เขียนโดย Wasin Lerksumrand
อ้างอิง : hbr