แน่นอนว่ากลุ่มคน LGBTQ+ ซาบซึ้งใจมากหากคนที่เป็นชายแท้หญิงแท้ (Straight) สนับสนุนพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการออกมาร่วมเดินขบวน หรือการลงคะแนนให้ผู้ชิงตำแหน่งทางการเมืองที่สัญญาว่าจะเรียกร้องการสมรสเท่าเทียม แต่ยังมีอีกที่หนึ่งที่ยังต้องการแรงสนับสนุน นั่นก็คือ “ในที่ทำงาน”
ตามรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนพบว่า 46% ของพนักงานที่เป็น LGBTQ+ ยังต้องปิดบังตัวเองในที่ทำงาน เพราะหลายคนกลัวว่าผู้จัดการที่ไม่ได้มีแนวคิดสนับสนุน LGBTQ+ จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบในเชิงลบ กลัวว่าคนจะนำเรื่องการรักร่วมเพศเอามาล้อเลียนเป็นเรื่องขำขัน หรือกลัวว่าจะรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากคนอื่น
หากคุณอยากจะสนับสนุนกลุ่มคน LGBTQ+ ในที่ทำงาน นี่คือ 9 วิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้เพื่อนร่วมงานที่เป็น LGBTQ+ สามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่และรู้สึกคุณค่าในตัวเอง
1. อย่าทึกทักไปเอง
ถึงแม้คุณจะคิดว่าตัวเองมีเรดาร์ตรวจจับเกย์ที่ดีที่สุดในโลก แต่คุณไม่สามารถมองแค่ผิวเผินและบอกว่าคนนี้เป็น LGBTQ+
Nikki Levy กล่าวว่า “ฉันต้องเปิดตัวทุกครั้งเวลาได้งานใหม่ เพราะว่าฉันดูเป็นหญิงแท้มาก ถ้าคุณอยากรู้ว่าฉันกับแฟนเจอกันได้อย่างไร ให้ถามว่า ‘คุณเจอแฟนยังไง’ ไม่ใช่ ‘คุณเจอสามียังไง’ เพราะมีหลายคนมาขอโทษฉันหลังจากที่ทึกทักเอาเองว่าฉันมีสามี ดังนั้น คุณไม่ควรคาดเดาเอาเองว่าคนนี้เป็นเพศใดหรือมีแฟนเป็นเพศใด
2. ให้เขาพร้อมและเปิดตัวเอง
กลุ่มคน LGBTQ+ บางคนยังรู้สึกลำบากใจหากต้องเปิดเผยเพศในที่ทำงาน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ากังวลเรื่องความปลอดภัยไปจนถึงกลัวว่าจะโดนคนที่ไม่มีความรู้เรื่อง LGBTQ+ ยิงคำถามที่น่าหงุดหงิดใจ
เพื่อนร่วมงานบางคนอาจจะเปิดตัวว่าเป็น LGBTQ+ กับคุณ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะเปิดตัวกับทุกคน ดังนั้น คุณอาจจะลองถามคนนั้นว่ามีคนอื่นรู้อีกหรือไม่ เพราะคุณจะได้ระมัดระวังเวลากล่าวถึง และไม่เผลอไปเปิดตัวว่าเขาเป็น LGBTQ+ แทนตัวเขา
3. ถามเรื่องชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้เลย
เมื่อเพื่อนที่ทำงานเปิดเผยว่าเป็น LGBTQ+ คุณก็ควรจะสนทนาและถามถึงชีวิตส่วนตัวเหมือนกับที่คุณถามคนที่เป็นชายแท้หญิงแท้เลย Ganee Berkman กล่าวว่า “ยิ่งคุณนิ่งเงียบไม่ยอมถาม ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกต้องปิดบัง”
นอกจากนี้ เธอยังเคยเห็นว่า มีบางคนถึงขั้นเบาเสียงลงเวลาพูดถึงพนักงานที่เป็นเกย์เหมือนกับว่าเป็นเรื่องต้องห้าม แต่จริง ๆ แล้วคุณสามารถใช้ระดับเสียงปกติได้เลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
4. อย่าจุ้นจ้านมากเกินไป
การได้พูดคุยเรื่องชีวิตนอกจากงานในออฟฟิศกับเพื่อนร่วมงานที่เป็น LGBTQ+ ถือเป็นเรื่องที่ดี ตราบใดที่สามารถพูดได้และเหมาะสม Chloe Curran กล่าวว่า “แต่อย่าได้ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นเกย์ เพราะมันฟังดูประหลาด”
คนที่เป็น LGBTQ+ บางครั้งก็โดนยิงคำถามเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เช่น บอกพ่อแม่อย่างไร มีเพศสัมพันธ์อย่างไร หรือร่างกายส่วนใดยังมีอยู่หรือไม่มีแล้ว Levy ก็เป็นอีกคนที่โดนถามหลายครั้งก่อนแต่งงานว่า เธอและภรรยาจะสวมชุดเจ้าสาวทั้งคู่หรือไม่
และที่แย่ที่สุดคือ การที่เพื่อนร่วมงานพยายามเล่นเกมจับคู่ให้คนอื่น แม้ว่าคุณอาจจะรู้จักคนที่เป็นเกย์ 2 คน แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะชอบพอกัน จริงอยู่ว่าคุณหวังดี แต่นี่อาจสร้างความไม่พอใจได้
5. อย่าพูดเรื่องเพศวิถีหรือเพศสภาพอย่างเดียว
แน่นอนว่าคนที่เป็น LGBTQ+ มีขอบเขตว่าพวกเขาอยากพูดถึงเรื่องเพศวิถีหรือเพศสภาพ
มากน้อยแค่ไหน การเป็น LGBTQ+ ถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องนี้แค่เรื่องเดียวสักหน่อย
Eugene Huffman กล่าวว่า “เราชาว LGBTQ+ ต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้มีสิทธิเท่าเทียมและได้รับการปฏิบัติเหมือนคนทั่วไป การเป็น LGBTQ+ เป็นเพียงด้านหนึ่งของชีวิตแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เรามีเรื่องอื่นที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นมากพอแล้ว”
6. ศึกษาหาความรู้ใส่ตัว
พยายามติดตามข่าวสารความเป็นไปของกลุ่มคน LGBTQ+ อยู่เสมอ ลองตั้งคำถามและค้นหาข้อมูลในกูเกิล เช่น เราสามารถถูกไล่ออกเพราะว่าเป็นเกย์ได้หรือไม่ คนที่เหยียดเกย์สามารถปฏิเสธไม่ทำเค้กแต่งงานได้หรือเปล่า คนที่เป็นเกย์อนุญาตให้เข้าห้องน้ำไหนได้ และคนเป็นเกย์สามารถเป็นทหารได้หรือเปล่า
Aaron Rasmussen กล่าวว่า “อย่าคิดว่าคนที่เป็นเกย์จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกลุ่มคนที่เป็น LGBTQ+ เพราะเรื่องนี้มีความหลากหลายมาก และทุกคนมีประสบการณ์และเรื่องเล่าแตกต่างกันไป”
7. ให้ความสำคัญกับการใช้คำสรรพนาม
กลุ่มคนที่เป็นคนข้ามเพศ (Transgender) และมีเพศที่เลื่อนไหลไปมา (Gender fluid) ต้องเผชิญกับความสับสน อคติ และความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน มิหนำซ้ำเรื่องนี้ยิ่งสร้างความเครียดให้พวกเขาอย่างมากเวลาอยู่ที่ทำงาน
Samee Junio กล่าวว่า “การเป็นนอนไบนารี (Non-binary) ถือเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่กำลังพยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้ เพราะพวกเขาอาจจะถามว่า ‘คุณไม่ใช่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเหรอ’ นอกจากนี้ การเป็นนอนไบนารียังได้รับการยอมรับน้อยกว่าการเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยนอีกด้วย”
ดังนั้น อย่ากลัวที่จะถามว่าพวกเขาอยากให้เรียกโดยใช้สรรพนามอะไร เพราะคนที่เป็นคนข้ามเพศก็พร้อมที่จะตอบคำถามนี้ แต่ที่สำคัญคือคุณห้ามใช้คำสรรพนามผิดบ่อยเกินไปเพราะอาจจะกระทบจิตใจได้
8. ยืนหยัดเพื่อคนที่เป็น LGBTQ+
Charlie Arrowood กล่าวว่า “หากคุณได้ยินเพื่อนร่วมงานใช้สรรพนามเรียกคนที่เป็นคนข้ามเพศผิด แต่คนข้ามเพศคนนั้นได้เปิดเผยตัวตนกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นแล้ว คุณก็ควรจะบอกเขาให้ใช้สรรพนามที่ถูกต้อง”
และถ้าคุณได้ยินคนนำการรักร่วมเพศมาพูดเชิงขบขัน ก็ไม่ควรปล่อยตามเลย แต่ควรเข้าไปพูดคุยและแจ้งให้ HR ทราบเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
9. แสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสนใจกับ LGBTQ+
มีวิธีมากมายที่แสดงให้เห็นว่าคุณสนใจและให้ความสำคัญกับ LGBTQ+ เช่น สนับสนุนให้ออฟฟิศเป็น สปอนเซอร์รถแห่ขบวนไพรด์ (Pride Parade) หรือคุณอาจจะออกไปร่วมเดินขบวนด้วยเลย
Chapman กล่าวว่า “ที่ซานฟรานซิสโก กลุ่มพนักงานที่ออกมาร่วมเดินขบวนไพรด์เกือบ 50% เป็นชายแท้หญิงแท้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ๋งมากที่เห็นเพื่อนร่วมงานออกมาเฉลิมฉลองกัน”
จากวิธีทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ แม้ว่าบางวิธีจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคุณ แต่สำหรับกลุ่มคนที่เป็น LGBTQ+ แล้ว การมีเพื่อนร่วมงานที่คอยสนับสนุนและใส่ใจเรื่องเหล่านี้ถือว่ามีความหมายและทำให้เกิดความรู้สึกดีในการทำงาน
เขียนโดย Parinya Putthaisong
อ้างอิง themuse