ทุกคนคิดว่า Work Life Balance ในปัจจุบันยังใช้ได้อยู่ไหม ?
เชื่อว่าพนักงานทุกคนต้องการความสมดุลชีวิตให้กับตัวเอง อยากมีเวลาพักส่วนตัว แต่ในความเป็นจริง หลายคนกลับมาบ้านก็ยังหยุดคิดเรื่องงานไม่ได้ อยากรีบเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จ แต่กลายเป็นว่าเผลอ ๆ ก็ทำงานลากยาวไปถึงเสาร์-อาทิตย์ แล้ว ชีวิตเลยมีแต่เรื่องงาน งาน และงาน จนลืมใช้ชีวิตส่วนตัว สุดท้ายอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เราหมดไฟในการทำงาน
ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาโลกของเราก็ได้เกิดเหตุการณ์วิกฤตโรคระบาด ทำให้หลายคนต้อง Work From Home อยู่บ้าน ยิ่งทำให้แนวคิดเรื่อง Work Life Balance มีแนวโน้มว่าจะไม่เหมือนเดิม เนื่องจากบ้านได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่ทำงาน
แล้วทีนี้สรุปว่า Work Life Balance ยังใช้ได้จริง ๆ อยู่ไหม ??
ปัจจุบันจึงมีเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่เข้ามา คือ Work-Life Integration ที่มาแรงแซงทางโค้งเลย แต่ว่าจะแตกต่างจาก Work Life Balance อย่างไร ConNEXT มีคำตอบ และได้สรุปข้อมูล มาให้แล้ว ไปดูกัน!
Work-Life Integration คืออะไร ?
Work-Life Integration คือแนวคิดที่เชื่อว่างานกับชีวิตคือเรื่องเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เหมือน Work-Life Balance
เพราะฉะนั้นสรุปง่าย ๆ ว่า Work-Life Integration หมายถึง การทำงานที่ผสมผสานชีวิตการทำงานและเรื่องส่วนตัวเข้าไว้ด้วยกัน โดยจะเน้นหาตรงกลางระหว่างงานกับชีวิต ซึ่งการทำงานรูปแบบนี้จะมีความหยืนหยุ่นมากกว่าการทำงานแบบ Work-Life Balance มาก เพราะจะสามารถจัดสรรเวลาทำงานเองได้ ไม่มีกรอบเวลามากำหนดชัดเจนว่า 9 โมงเช้าต้องเริ่มงาน หรือ 6 โมงเย็นต้องเลิกงาน แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดสรรยังไงให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์เรามากที่สุด
Work-Life Balance กับ Work-Life Integration ต่างกันยังไง
Work Life Balance คือการแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ชัดเจน จะทำงานเมื่ออยู่ในเวลางานและจะพักผ่อนเมื่อในช่วงเวลาหลังเลิกงาน
ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับ Work-Life Integration อย่างแน่นอน เพราะ Work-Life Integration คือการหลอมรวมเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งจะไม่มีกรอบเวลามากำหนดชัดเจนอย่าง Work Life Balance แต่จะเป็นวิถีการทำงานที่ให้เราจัดสรรเวลาการทำงานของตัวเองได้ ว่าเวลาไหนเราทำงานนั้นออกมาได้ดี ได้มีประสิทธิภาพ โดยจะไม่ได้โฟกัสชั่วโมงการทำงาน หรือเวลาเข้าออกของงาน แต่จะเน้นที่ผลงานหรือประสิทธิภาพของงานแทน
การทำงานแบบไหนถึงเรียกว่า Work-Life Integration
- Flexible Hours ยืดหยุ่นเวลาการทำงาน ไม่เคร่งครัดเรื่องเวลางาน จะเข้า-จะออกตอนไหนก็ได้ แต่ต้องครบภายในระยะเวลาที่องค์กรกำหนด ซึ่งหลายบริษัทก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากการเข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น เป๊ะ ๆ มาเป็นการให้พนักงานจัดสรรเวลาการทำงานได้เอง เพื่อให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนมากขึ้น
- Remote Working ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ ขอแค่มีงานมาส่ง
- Customizable Perks องค์กรมีจัดสรรสวัสดิการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน (ตรงนี้พนักงานสามารถเลือกเองได้ด้วยนะ)
- Invest in Training องค์กรสนับสนุนในการเรียนรู้ เช่น การอบรมพัฒนาตัวเอง หรือแม้แต่ถ้าตัวเราอยากเรียนรู้เรื่องอะไร องค์กรเหล่านั้นก็พร้อมจะซัปพอร์ตการเรียนรู้เหล่านั้น
สุดท้ายแนวคิดแบบ Work-Life Integration ที่มองว่างานกับชีวิตคือเรื่องเดียวกัน อาจมาจากงานที่เราทำ ทำให้คำว่า Work กับ Life ไม่สามารถปิดสวิตช์ได้ทันที แต่สองสิ่งนี้เราสามารถออกแบบได้ อาจจะต้องโฟกัสที่เนื้อหาของงานเป็นหลักก่อน เพราะต้องเข้าใจธรรมชาติของงานด้วย ไม่อยากให้เหมารวมว่า Work life balance คือการต้องเลิกงานตรงเวลาเป๊ะ ๆ เท่านั้น แต่อยากให้ลองออกแบบให้สอดคล้องกับชีวิตเรา และจำเป็นต้องแบ่งเวลางานกับเวลาพักให้ชัดเจนด้วย ไม่อย่างนั้นเราอาจจะหมดไฟในที่ทำงานไปแบบไม่รู้ตัวได้นะ