จากข้อมูลจำนวนงานที่เปิดรับและจำนวนคนลาออกจากงานโดยกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกา พบว่า ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีจำนวนคนลาออกมากถึง 4.5 ล้านคน
อุตสาหกรรมที่มีการลาออกจำนวนมากคือภาคส่วนที่ได้รับค่าจ้างต่ำ เช่น ภาคการบริการที่พักและอาหาร ภาคการดูแลสุขภาพ ภาคการช่วยเหลือทางสังคม ภาคการคมนาคมขนส่ง คลังสินค้า และสาธารณูปโภค
โดยปกติแล้วเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่มีคนลาออกอยู่แล้ว เพราะต้องเริ่มงานใหม่ในช่วงเดือนมกราคม แต่ตัวเลขในปีที่ผ่านมากลับทำลายสถิติของทุกปีลง
ผู้คนยังคงลาออกในปี 2022 แม้โอไมครอนจะมาแรงแค่ไหนก็ตาม
ข้อมูลภาพรวมตลาดแรงงานจาก Job Openings and Labor Turnover Survey (JOLTS) ในวันสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่โอไมครอนจะกระจายไปทั่วสหรัฐฯ ก็พบว่ามีตำแหน่งงานว่างและมีการว่าจ้างสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีคนได้งานใหม่ถึง 6.7 ล้านคน แซงจำนวนการลาออก
หลายคนกำลังใช้ประโยชน์จากตลาดแรงงานที่กำลังปั่นป่วนด้วยการลาออกและหางานใหม่ที่มีเงินเดือนและสวัสดิการการทำงานที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนกลัวติดไวรัสโควิด จึงหางานที่สามารถทำงานทางไกลได้
จะเห็นได้ว่า ช่วงครึ่งปีหลังของ 2021 ก็เกิดปรากฏการณ์ Great Resignation ในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แม้โควิดสายพันธุ์เดลต้าจะแพร่ระบาดไปทั่วประเทศก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์จึงได้คาดการณ์ว่า การจ้างงานและการลาออกมหาศาลนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2022 เพราะนายจ้างจะพยายามดึงดูดคนใหม่ๆ เข้ามา และบริษัทใดที่สามารถให้ข้อเสนอในเรื่องของค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ดีและมีความมั่นคงกว่าก็จะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
รายงานจาก The Conference Board และ Emsi Burning Glass ก็ชี้ไปในทางเดียวกันว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2020 ถึงตุลาคม 2021 มีการโพสต์ตำแหน่งงานที่เสนอโบนัสการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
ปัญหาขาดแคลนแรงงานยังคงอยู่
ตั้งแต่ก่อนการระบาดใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 พบว่า มีจำนวนคนว่างงานมากกว่าตำแหน่งงานที่ว่าง ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วๆ นี้แน่นอน
เนื่องจากการเกษียณอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Baby Boomer การทำงานของกลุ่ม Millennial ที่ลดน้อยลง อัตราการเกิดที่ลดลง และจำนวนผู้คนที่ย้ายประเทศต่างๆ
ที่มา - CNBC