หลังจากมีกระแสย้ายประเทศคนรุ่นใหม่ต่างหาวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาต่อหรือเข้าร่วมโครงการอาชีพที่สามารถต่อยอดการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศได้ และโครงการ Au Pair ก็เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะได้ไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศแล้วยังได้รับทุนการศึกษาจากโฮสต์แฟมิลี่เพื่อเรียนตามความสนใจได้อีกด้วย
มาทำความรู้จักกับคุณไอยเรศ นุชบุษบา (ไอซ์) หนึ่งในตัวแทนของคนยุค Millennial ที่ปัจจุบันเป็นออแพร์ (Au Pair) ท่ีเมือง Denver รัฐ Colorado ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะโดนปฎิเสธวีซ่ารอบแรกแต่ยังคงมุ่งมั่นทำตามเป้าหมายเพื่อให้ได้ไปเป็น Au Pair ที่อเมริกา มาดูกันว่าอะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกเข้าร่วมโครงการนี้ อุปสรรคอะไรบ้างที่ต้องเผชิญ พร้อมคำแนะนำสำหรับคนที่สนใจโครงการนี้จะมีอะไรบ้าง มาร่วมหาคำตอบไปพร้อม ConNEXT กันเลย
Au Pair คืออะไร?
ออแพร์คือโครงการพี่เลี้ยงเด็กที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่อยากไปอยู่ต่างประเทศ เพราะนอกจากจะได้เลี้ยงเด็กๆ ที่น่ารักของโฮสต์แฟมิลี่แล้วยังได้ไปใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเจ้าของภาษา ได้รับค่าตอบแทนอย่างถูกกฏหมาย และได้รับทุนการศึกษาจำนวน $500 (ประมาณ 17,000 บาท) เพื่อศึกษาต่อตามความสนใจอีกด้วย โดยโครงการนี้จะถือวีซ่าประเภท J1 (Cultural Exchange Visitor Visa) โดยเราจะพักอาศัยกับโฮสต์แฟมิลี่เวลา 1-2 ปี
จุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจมาเป็น Au Pair ?
เหตุผลหลักเลยคือ อยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเองรวมถึงพัฒนาภาษาอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้าจะมาเข้าร่วมโครงการออแพร์เป็นผู้ช่วยครูโรงเรียนสอนพิเศษประมาณ 4 ปี แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโรงเรียนได้รับผลกระทบ จึงทำให้ต้องเปลี่ยนงานมาเป็น Content Creator ให้สำนักพิมพ์หนังสือเด็กแห่งหนึ่ง แต่พอทำงานไปได้สักพักรู้สึกถึงจุดอิ่มตัวกับงานที่ทำ เรากลับมาทบทวนตัวเองว่ามีอะไรที่เราถนัด และทำออกมาได้ดี จึงตกตะกอนได้ว่า ‘ตัวเราชอบทำงานเกี่ยวกับเด็ก ชอบดูแล ชอบแบ่งปันความรู้ของเราให้เด็กๆ’ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีคนแนะนำโครงการนี้ ทำให้เราไปศึกษาเพิ่มเติม และตัดสินใจมาเป็น ออแพร์ในท่ีสุด
เตรียมตัวในการสมัครโครงการ Au Pair อย่างไร?
การสมัครโครงการออแพร์จะต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับเด็กอย่างน้อย 200 ชั่วโมง ซึ่งต้องมีเอกสารรับรอง จากนั้นต้องจัดเตรียมเอกสารสำหรับการเป็นออแพร์ต่างๆ เช่น เอกสารการรับรองการทำงาน เอกสารตรวจสุขภาพ ใบขับขี่ สัมภาษณ์วัดระดับภาษา ทั้งนี้เงื่อนไขของแต่ละเอเจนซี่แตกต่างกันออกไป
อุปสรรคที่เจอกว่าจะได้เป็น Au Pair ?
อุปสรรคที่เจอมีสองอย่าง คือ การจับคู่ (Match) กับโฮสต์แฟมิลี่ และการสัมภาษณ์วีซ่าสำหรับการเลือกโฮสต์ เราจะลิสต์คำถามที่เราต้องการจากโฮสต์มาอย่างชัดเจน ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับเด็กๆ ที่เราต้องดูแล งานบ้านที่ต้องรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายที่โฮสต์รับผิดชอบ กฏระเบียบของบ้านต้องละเอียดและครอบคลุม รวมถึงเตรียมตัวตอบคำถามต่างๆ ที่โฮสต์จะถามเราไว้ด้วย อย่างเราคุยหลายบ้านมาก กว่าจะได้บ้านที่ใช่ ซึ่งเราแฮปปี้กับโฮสต์แฟมิลี่นี้มาก เพราะความคาดหวังของเรากับโฮสต์ตรงกันหลายอย่าง เพราะเราไม่อยากเป็นแค่ออแพร์ที่มาแล้วไป แต่เราต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ซึ่งข้อนี้ก็สามารถตอบโจทย์โฮสต์แฟมิลี่ของเราด้วยเช่นกัน
ส่วนสำหรับการสัมภาษณ์วีซ่า เราเตรียมตัวการสัมภาษณ์วีซ่าตามที่เอเจนซี่แนะนำ รวมถึงมีการเตรียมตัวอย่างหนักพอถึงวันที่ต้องไปสัมภาษณ์รอบแรกเราตั้งใจมาก แต่ผลลัพธ์คือเราวีซ่าเราไม่ผ่าน แต่เราไม่หยุดความตั้งใจเราไว้แค่นั้น เรากลับไปอ่านรีวิวจากคนที่ผ่านสัมภาษณ์ต่างๆ ลิสต์คำถามและซ้อมตอบคำถามให้เป็นธรรมชาติ ปรับบุคคลิกภาพให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ถือว่าเป็นขั้นตอนที่เครียดมากๆ แต่พอวันสัมภาษณ์รอบสองมาถึงผลจากการพยายามอย่างหนักก็ทำให้ผ่านวีซ่าในที่สุด
ในแต่ละวันของการเป็น Au Pair ต้องทำอะไรบ้าง?
หน้าที่หลัก คือ ทำหน้าที่ดูแลเด็กๆ ช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันของเด็กๆ ทำกิจกรรมเสริมพัฒนาการต่างๆ และดูแลความสะอาดที่เกี่ยวข้อง เช่น ของใช้ ของเล่น และเสื้อผ้า ทำงาน 45 ชั่วโมง/สัปดาห์ และไม่เกิน 10 ชั่วโมง/วัน
แต่ละสัปดาห์โฮสต์แฟมิลี่จะจัดตารางงานมาให้อย่างชัดเจน ส่วนมากจันทร์-ศุกร์ เวลาประมาณ 8.00-17.00 น. อาจจะมีทำวันเสาร์บ้าง เดือนละครั้ง โฮสต์บ้านเราค่อนข้างตรงต่อเวลา พอถึงเวลาเลิกงาน เขาก็จะมาดูแลเด็กๆ ต่อให้เลย เพื่อให้เราสามารถจัดตารางเวลาเรียนของเราได้อย่างสะดวก ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ โฮสต์จะให้อิสระเราไปเที่ยวกับเพื่อนออแพร์ได้อย่างเต็มที่
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านว่ามีข้อตกลงร่วมกันอย่างไรด้วยเพราะแต่ละบ้านจะไม่เหมือนกัน ซึ่งในข้อนี้เราสามารถตกลงกับโฮสต์แฟมิลี่ได้ตั้งแต่ขั้นตอนจับคู่ (Match) กับโฮสต์แฟมิลี่
อยากเป็น Au Pair รักเด็กอย่างเดียวพอไหม?
ส่วนตัวคิดว่ารักเด็กอย่างเดียวไม่พอ เพราะเวลามาดูแลเด็กๆ จริงๆ มันมีรายละเอียดที่ยิบย่อยมากๆ นอกจากรักเด็กแล้ว ยังต้องมอบความใส่ใจด้วย สิ่งสำคัญคืออารมณ์ เราต้องเข้าธรรมชาติของเขา ต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีไหวพริบและมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับเด็กๆ เพราะถือว่าเราเป็นพี่สาวและคุณครูที่ต้องคอยสอนเขาให้มีพัฒนาการที่ดีเพื่อเขาจะได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
สิ่งที่ได้รับจากการเป็น Au Pair ?
สิ่งที่เราได้มันมากกว่าภาษาอังกฤษแน่นอน มันคือประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราจะได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรม ผู้คน รวมถึงสถานที่ใหม่ๆ เพื่อสามารถนำไปปรับใช้ในการใช้ชีวิตในอนาคตได้
คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้าสู่วงการ Au Pair
สำหรับคนที่สนใจโครงการ Au Pair อยากฝากให้ศึกษาคุณสมบัติ ขั้นตอนและเงื่อนไขของโครงการให้ชัดเจน ทั้งการเก็บเอกสาร การหาโฮสต์แฟมิลี่ การทำวีซ่า เพราะบางขั้นตอนอาจจะยากและต้องใช้เวลามากสักหน่อย แต่ขอให้ทุกคนอดทนและตั้งใจทำทุกขั้นตอนจนกว่าจะสำเร็จ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากมาเป็น Au Pair พอมาถึงอเมริกาแล้วจะหายเหนื่อยและไม่ผิดหวังแน่นอน