ทำความรู้จักอาชีพ Career Advisor ในบริษัทญี่ปุ่น พร้อมเจาะลึกฝั่ง Recruiter ว่ามองหาอะไรจากเด็กจบใหม่ | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
ทำความรู้จักอาชีพ Career Advisor ในบริษัทญี่ปุ่น พร้อมเจาะลึกฝั่ง Recruiter ว่ามองหาอะไรจากเด็กจบใหม่
By Siramol Jiraporn เมษายน 7, 2022
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

เมื่อพูดถึงอาชีพ ‘Career Advisor’ หลายคนอาจจะยังงงๆ และไม่รู้ว่าอาชีพนี้มีหน้าที่ทำอะไรกันแน่ บทความนี้จึงจะพาไปทำความรู้จักอาชีพ Career Advisor กับคุณศุภณัฐฐา ทรัพย์สำรวย หรือคุณเฟิร์ส ว่าตำแหน่งนี้คืออะไร แล้วการทำงานในบริษัท Recruitment ของญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไร พร้อมทั้งเจาะลึกมุมมองของฝั่ง Recruiter ว่าอยากเห็นอะไรจากเด็กจบใหม่ในการสมัครงานครั้งแรก

Career Advisor

เส้นทางชีวิตก่อนผันตัวมาเป็น Career Advisor 

ขอย้อนกลับไปก่อนว่า เราเรียนจบจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งตอนเรียนไม่เคยผ่านการฝึกงานมาก่อน เพราะช่วงระหว่างการฝึกงานของคณะเราต้องไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นพอกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าเพื่อนเรียนจะจบแล้ว แต่เรายังไม่เคยแม้แต่ฝึกงานเลย ตอนนั้นจึงหางานอีเวนต์ที่เปิดรับนักศึกษาเข้าเป็น Staff ระหว่างนั้นก็ได้ลองทำงานหลายๆ แบบ เช่น ทำงานพาร์ทไทม์เป็น Event coordinator คอยจัดอีเวนต์ให้กับเด็กที่มาฝึกงานที่ประเทศไทย แต่พอทำไปสักพักก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย จึงหันกลับมาตั้งใจเรียนให้จบ

พอเรียนจบแล้วก็ได้ทำงานตำแหน่ง Placement coordinator ในบริษัทเดิมที่เล่าก่อนหน้านี้ ซึ่งมีความคล้ายกับตำแหน่ง Recruiter มีหน้าที่ดูแลเด็กฝึกงาน และจับคู่งานให้ตรงกับตำแหน่งที่มีอยู่ และดูแลพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทเปิดรับนักศึกษาฝึกงาน พอทำไปสักพักก็เหตุจำเป็นที่บริษัทต้องลดจำนวนพนักงาน ทำให้โดนยกเลิกสัญญาเร็วกว่ากำหนด

ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เริ่มหันมาทบทวนกับตัวเองว่าเราสนใจงานแบบไหนและงานอะไรที่เหมาะกับเราจริงๆ ประจวบเหมาะกับ Pasona Recruitment Thailand เปิดรับสมัครงานพอดี ก็เลยตัดสินใจสมัครไป เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นในสายงาน Career Advisor 

Career Advisor คืออะไร?

Career Advisor ไม่ต่างจาก Recruiter เป็นชื่อตำแหน่งที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทว่าจะเรียกว่าอะไร แต่ข้อดีของการตั้งชื่อว่า Career Advisor คือ เราไม่ได้เป็นคนมองหาผู้สมัครอย่างเดียว แต่ผู้สมัครก็สามารถสมัครเข้ามาเองผ่านเว็บไซต์ของบริษัทได้เช่นกัน 

เรามีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้สมัคร เช่น การให้คำแนะนำว่าแต่ละตำแหน่งที่ผู้สมัครสนใจมีโอกาสเติบโตไปทางไหนได้บ้าง และเงินเดือนเป็นอย่างไร เพื่อให้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับสายงานนั้นๆ มากขึ้น และทำให้เห็นเส้นทางในอาชีพการทำงานชัดขึ้นด้วย

ตอนสมัครงานที่ Pasona มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

Career Advisor

เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น อย่างแรกที่เราทำคือ การปรับเรซูเม่ให้มีความละเอียดที่สุด โดยในส่วนของ Achievement จะต้องใส่ข้อมูลที่ชัดเจนและจับต้องได้ เช่น สมมติเป็น Content Creator เราสามารถลงคอนเทนต์ได้เดือนละเท่าไหร่ แล้วมี Engagement กี่เปอร์เซ็นต์ เราต้องดึงจุดเด่นออกมาให้บริษัทที่เราสมัครงานเห็นว่าเรามีศักยภาพมากพอ

ต่อมาขั้นตอนการสัมภาษณ์ เราเตรียมตัวด้วยการหาคำถามที่พบเจอได้บ่อยผ่านเว็บไซต์ต่างๆ และเตรียมตัวตอบคำถามสัมภาษณ์เหล่านั้นให้ดี อีกทั้งเรายังสามารถดูคลิปสอนตอบคำถามสัมภาษณ์ในยูทูป เพื่อดูแพทเทิร์นในการตอบว่าควรตอบแบบไหน และไม่ควรตอบแบบไหน

สุดท้ายแล้วทุกๆ อย่างคือการเตรียมความพร้อม นอกจากจะต้องเตรียมตัวตอบคำถามแล้ว ก็ยังต้องเตรียมตัวถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย เพื่อที่เราจะรู้ด้วยว่าบริษัทที่เราสมัครมีมุมมองหรือมีวิธีคิดตรงกับเราหรือเปล่า

อยากเป็น Career Advisor ต้องมีทักษะอะไรบ้าง?

คนที่เหมาะกับการเป็น Career Advisor จะต้องมีทักษะดังต่อไปนี้

  • Service Mind: เนื่องจาก Career Advisor คือการบริการรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่ทำหน้าที่แค่ขายงานให้คนมาสมัคร แต่ต้องคอยให้บริการระหว่างกระบวนการสรรหาบุคคล เช่น คอยให้ความช่วยเหลือในการเตรียมตัวสัมภาษณ์กับผู้สมัคร
  • Communication: การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราต้องขายงานให้กับผู้สมัคร อีกทั้งยังต้องใช้สื่อสารกันภายในทีมด้วย
  • Self-motivated: การสร้างแรงผลักดันให้กับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะต้องขวนขวายหาผู้สมัครอยู่ตลอดเวลา และเป็นงานที่ต้องทำทุกวัน ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างเป้าหมายให้ตัวเองเดินต่อไปได้ จะได้ไม่จมอยู่กับที่แล้วรู้สึกเบื่องาน

วัฒนธรรมการทำงานบริษัทญี่ปุ่น

บริษัทแต่ละที่ก็จะมีความแตกต่างกันไป แต่หลักๆ คือ การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับบริษัทญี่ปุ่น สมมติเวลาเริ่มงานคือ 9.00 น. ไม่ใช่ว่าไปถึงที่ทำงาน 9.00 น. เวลาที่เหมาะที่สุดคือไปถึงที่ทำงานก่อน 10 นาทีขึ้นไป และพื้นฐานของคนญี่ปุ่นก็เป็นคนมีมารยาทดี สุภาพ และทำงานร่วมกับคนในทีมได้

นอกจากนี้เรายังชอบการเทรนและการสนับสนุนของบริษัทญี่ปุ่น เพราะเขาไม่ได้มองแค่ว่าจ้างเรามาทำงานอย่างเดียว แต่เขาอยากทำให้เรามีประสบการณ์ทำงานในบริษัทที่ดี อย่าง Pasona เองก็มีการเทรน โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลและให้คำแนะนำก่อนเริ่มลงสนามจริงด้วย


บรรยากาศการทำงานดี+เพื่อนร่วมงานดี = มีความสุขในการทำงาน


แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงานเลย เพราะสิ่งหนึ่งที่คนทำงานในบริษัทต่างชาติหลายคนอาจเจอเหมือนกันคือ อุปสรรคด้านภาษา เมื่อมีชาวต่างชาติมาทำงานด้วยกัน แน่นอนว่าจะต้องมีช่องว่างทางด้านภาษาเกิดขึ้น บางทีเขาสื่อสารอะไรมาแล้วเราอาจจะไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซ็น สิ่งที่เราทำได้คือการพัฒนาตัวเอง เพื่อที่ทำให้มีการสื่อสารอยู่ในระดับเดียวกันและไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการสื่อสาร

สิ่งที่เด็กจบใหม่ทำผิดพลาดบ่อยในการสมัครงาน

Career Advisor

จริงๆ แล้วเรียกว่าทำผิดพลาดก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะปัญหาเกิดจากการไม่เคยมีประสบการณ์และไม่มีคนสอนมาก่อนมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ส่งผลต่อการพิจารณา เช่น

  • การเขียนอีเมล: เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่ค่อยสอน แต่เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกคน เราควรรู้ว่าต้องขึ้นหัวข้อ ขึ้นเนื้อหา และจบเนื้อหาอย่างไร อย่าส่งอีเมลโดยการแนบไฟล์ไปอย่างเดียวโดยไม่เขียนอะไร
  • เรซูเม่: หลายคนยังใช้รูปแบบเรซูเม่ที่ไม่ถูกต้องอยู่อย่างเช่น การใช้ค่าพลังทักษะ ทางที่ดีควรแก้เป็นการเขียนว่าเราถนัดทักษะนั้นๆ ในระดับไหน เช่น Basic, Intermediate, Professional ส่วนทักษะภาษาถ้ามีคะแนนใส่ไว้ก็จะดีมาก
  • กิจกรรม: ถ้าตอนเรียนมหาวิทยาลัยเคยทำกิจกรรมอะไร ให้เก็บใส่พอร์ตไว้เสมอ เพราะจะทำให้โปรไฟล์เราดูน่าสนใจมากขึ้น
  • การส่งใบสมัคร: อย่ากลัวที่จะส่งใบสมัครไปหลายๆ ที่ เพราะสิ่งนี้เหมือนเป็นยุทธศาสตร์ที่จะเพิ่มโอกาสให้กับชีวิต อย่างน้อยก็จะรู้ได้ว่าบริษัทแบบไหนที่ต้องการเรา อีกทั้งยังเป็นการค้นหาตัวเองไปด้วยว่าเราชอบบริษัทแบบไหนกันแน่ผ่านการสัมภาษณ์งานหลายๆ ที่

สาเหตุที่เด็กจบใหม่หางานยาก

สิ่งที่ทำให้เด็กจบใหม่ๆ หางานยากมีหลายปัจจัย เช่น เรซูเม่ที่เขียนไม่ละเอียดพอ หรือการไม่มีทักษะด้านภาษา หากใครได้ภาษาแนะนำให้ไปสอบ เพื่อนำคะแนนมานำเสนอต่อบริษัทต่างๆ ว่าแม้เราจะไม่มีประสบการณ์การทำงาน แต่เราก็มีทักษะที่สามารถนำไปใช้ในการทำงานหรือนำไปเทรนต่อได้

ส่วนเรื่องการสัมภาษณ์ก็ไม่อยากให้กลัวกันมาก เพราะหลายคนอาจจะได้ยินมาจากคนรอบข้างว่าการสัมภาษณ์งานน่ากลัว กดดัน แต่สิ่งที่เราทำได้คือการเตรียมตัวให้พร้อม เรื่องของการหางานเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความใจเย็นเป็นอย่างมาก เพราะบางทีในตลาดแรงงานอาจมีคนที่มีความสามารถกว่าเรา เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะหางานใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กจบใหม่หางานอยากคงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและความต้องการในตลาดแรงงาน อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดของโควิดยังไม่หายไปไหน ทำให้ช่วงนี้หลายบริษัทจึงเปิดตำแหน่งเพื่อหาคนมีประสบการณ์มากกว่า เพื่อทำงานไปสักพักแล้วสามารถเทรนเด็กใหม่ๆ ต่อไปได้

รวมถึงตลาดแรงงานตอนนี้ต้องการคนที่มีทักษะหลากหลายขึ้น และตำแหน่งที่เป็นที่ต้องการของตลาดส่วนใหญ่ก็จะเป็นสายไอทีหรือสายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล เช่น Data Analyst หากใครที่ไม่พัฒนาตัวเองให้เท่าทันตลาดแรงงานก็อาจทำให้ถูกมองข้ามได้

การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ เราต้องไม่หยุดอยู่กับที่ ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ ก็ควรสะสมทักษะการทำงานไว้ให้เยอะที่สุด

ฝากถึงเด็กจบใหม่ที่กำลังก้าวเข้าสู่การสมัครงานครั้งแรก

Career Advisor

หลังจากเรียนจบมาใหม่ๆ ต้องเผชิญกับความกังวลหลายๆ อย่างในการสมัครงาน เพราะต้องเจอกับการสัมภาษณ์ และกังวลว่าผู้สัมภาษณ์ที่ต้องเจอจะเป็นคนยังไง แต่เราก็ไม่สามารถรู้ได้จนกว่าจะไปเจอจริงๆ ถ้าเราเตรียมพร้อมตั้งแต่เรื่องเอกสาร เรซูเม่ สัมภาษณ์ และทำความเข้าใจบริษัทตั้งแต่แรก เราก็จะรู้ได้ว่าเราทำเต็มที่ในส่วนของตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

และในการสมัครงาน นอกจากจะต้องคิดเรื่องเงินเดือนแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกอย่างหนึ่งคือ เราต้องถามใจตัวเองด้วยว่าเราอยากทำงานบริษัทนั้นๆ มากแค่ไหน แน่นอนว่าเมื่อมีใครสักคนให้ Offer เราเป็นที่แรก เราจะรู้สึกดีใจที่มีคนเห็นคุณค่าของเรา แต่เราต้องมีสติแล้วคิดให้ดีว่าที่นั่นเหมาะกับเราจริงๆ หรือไม่

สุดท้ายนี้ อย่างที่บอกว่าไม่ต้องกลัวที่จะส่งเรซูเม่ไปหลายๆ ที่ เราต้องสร้างโอกาสให้ตัวเอง เพราะการสมัครงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความเก่งของเราอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความอดทนและจังหวะเวลาโอกาสของเราด้วย เข้าใจว่าหลายคนอาจเครียดที่จบมาแล้วต้องว่างงาน เพราะเหมือนเราถูกเตะเข้าสู่โลกการทำงานโดยที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไร พอเห็นเพื่อนมีงานทำไปทีละคน ก็ยิ่งเพิ่มความกดดันให้กับตัวเอง แต่เราสามารถนำแรงกดดันตรงนั้นมาช่วยให้เรามีแรงฮึดสู้ในการหางานต่อไปได้ แล้วเราก็จะได้งานที่ดีสมการรอคอย

No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/talent-insights/career-advisor