เมื่อพูดถึงทุน Erasmus นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเปิดรับสมัครทีไรก็เป็นกระแสทุกที บทความนี้ ConNEXT จึงจะพาไปเจาะลึกประสบการณ์การได้ทุนเรียนต่อ พร้อมการได้งานทำที่ประเทศเยอรมันกับคุณกมล ร่มพูลผล ผู้ที่เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากย้ายไปอยู่ยุโรป มาดูกันว่ากว่าจะได้ทุน Erasmus ไปจนถึงชีวิตหลังเรียนจบการหางานจะยากหรือง่ายขนาดไหน แล้วชีวิตการทำงานที่เยอรมนีจะเป็นอย่างไร ตามไปอ่านกันได้เลย!
ทำความรู้จักทุนชื่อดังอย่าง Erasmus
Erasmus เป็นทุนเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท โดยเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างนักเรียนในทวีปยุโรปกับมหาวิทยาลัยในสังกัดจากทวีปอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งมหาวิทยาลัยสังกัดในประเทศไทยที่อยู่ในสังกัดของ Erasmus เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น
ผู้ที่สมัครทุน Easmus สามารถเลือกมหาวิทยาลัยและประเทศที่ต้องการไปศึกษาต่อได้ถึง 2-3 แห่ง จากทั้งหมด 4 แห่ง โดยมีระยะเวลาในการศึกษา 2 ปี นอกจากนี้ ทุนนี้ยังเป็นทุนให้เปล่า โดยเราจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนเป็นเวลา 2 ปี และค่าที่พัก อีกทั้งบางคณะและบางโครงการจะมีค่าเดินทางและเงินช่วยเหลืออื่นๆ ให้ เช่น ค่าเครื่องบิน ค่ากินอยู่เดือนละ 1,000 ยูโร และค่าเล่าเรียน
คุณสมบัติสำหรับคนที่ต้องการสมัครทุน Erasmus คือ ต้องมีผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ IELTS 6.0+ และต้องจบสาขาที่แต่ละคณะกำหนดไว้ รวมไปถึงมีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือจดหมายอ้างอิงจากอาจารย์หรือหัวหน้างาน และแรงจูงใจที่เราต้องการศึกษาต่อจะต้องมีความชัดเจน ดังนั้นจึงควรเขียน Cover letter และ Motivation letter ให้ดี และส่วนสุดท้ายที่ใช้ในการตัดสินให้ทุนก็คือการสัมภาษณ์นั่นเอง
เตรียมตัวอย่างไรให้ได้รับทุน Erasmus?
ขอเล่าย้อนไปก่อนจะสมัครทุนว่า หลังเรียนจบปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ตอนนั้นเราได้เริ่มทำงานที่บริษัท Ajinomoto และทำมาเรื่อยๆ จนเวลาผ่านมาสองปี หลังจากนนั้นเราก็ตัดสินใจลาออก เพราะต้องการเวลามาเตรียมตัวในการสอบ IELTS ซึ่งตอนนั้นเราได้ใช้เวลาเตรียมตัวอยู่ประมาณ 2 เดือน
ต่อมาก็เริ่มส่งใบสมัครทุนอยู่ประมาณ 2-3 เดือน และหลังจากนั้นไม่นาน (ประมาณ 4-5 เดือนหลังลาออกจากงาน) เราก็ได้การตอบรับทุน Erasmus ช่วงนั้นก็ใช้เวลาไปกับการเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเริ่มเรียนที่มหาวิทยาลัยและประเทศที่เราสมัครไป โดยเราได้ไปเริ่มเรียนช่วงเทอมภาคฤดูหนาว ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดหลังได้รับจดหมายตอบรับเข้าเป็นนักศึกษาจากทางมหาวิทยาลัยไปจนถึงวันที่ต้องบินไปเรียนก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ดังนั้นจึงต้องตั้งตัวให้ดี
เหตุเกิดจากชอบทำอาหาร
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราเรียนปริญญาโท สาขา Food science and technology ที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยเหตุผลที่เราเลือกเรียนสาขานี้เป็นเพราะโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบทั้งกินและทำอาหาร ดังนั้นเราจึงคิดว่าอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ เนื่องจากไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตก็ตามยังไงคนเราก็ต้องกินอยู่ดี ซึ่งนี่เป็นเหตุผลง่ายๆ ที่เราคิดตอนนั้น
ส่วนการเรียนที่ประเทศออสเตรียถือว่ามีรูปแบบการเรียนการสอนที่ดีและเราก็ชอบมาก เนื่องจากเขาให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง และสามารถพูดคุยโต้ตอบได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังได้คิดวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง แล้วนอกจากจะได้ความรู้ในห้องแล้ว เราก็ยังได้ความรู้นอกห้องเรียนหลายอย่างจากการได้เรียนที่ต่างประเทศ ถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นมาก
อุปสรรคระหว่างเรียนต่างแดน
ไม่ว่าใครที่ได้มาเรียนต่างแดนก็ต้องประสบกับปัญหาที่เราต้องแก้ไขและต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการคิดถึงบ้าน เจอ Professor ไม่ดี ปรับตัวไม่ได้ ภาษาไม่ถึง หรือเรียนตามไม่ทัน แต่โดยส่วนตัวแล้วสิ่งที่ทำให้ผ่านพ้นปัญหาเหล่านี้มาได้คือ เรามี Passion ที่จะมาเรียนต่อต่างประเทศ และรู้สึกมีความสุขกับการได้อยู่ต่างประเทศ เรื่องปรับตัวหรืออยากกลับบ้านเลยไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะเราสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างง่าย แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือจะเป็นเรื่องการเรียน เนื่องจากต้องย้ายประเทศเรียนบ่อยๆ เลยทำให้เกิดความเครียด ดังนั้นจึงต้องมีความแข็งแกร่งมากๆ ไม่งั้นก็จะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ามาอีก
ถึงแม้จะเรียนปริญญาโท แต่เรียนจบแล้วหางานยากกว่าที่คิด!
เมื่อเรียนปริญญาโทจบแล้ว การหางานสำหรับชาวต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะโอกาสที่คนเรียนจบแล้วได้งานถือว่าน้อยมากถ้าไม่ใช่ในกรณีแต่งงาน เนื่องจากเราไม่มี Work permit ทำให้หลายบริษัทไม่ยากเสียเวลารับเราเข้าทำงานและยื่น Work permit ให้กับชาวต่างชาติ
หลังเรียนจบปริญญาโท เราก็ใช้เวลาหางานอยู่สักพักใหญ่ๆ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่เราตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอก เพราะต้องการรักษาสภาพนักศึกษาไว้ พร้อมกับทำงานร้านอาหารไทยเพื่อหารายได้เสริม ในตำแหน่งผู้ช่วยกุ๊ก ซึ่งทำอยู่ประมาณปีกว่าๆ หลังจากนั้นก็ได้งานที่ประเทศเยอรมนี
ช่วงที่เราได้ทุน Erasmus แรกๆ เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก แต่พอเรียนจบแล้วผิดหวังกับการหางานซ้ำๆ ก็เริ่มหมดความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองไปมาก เพราะเราแก้ไขหรือพัฒนาตัวเองในการหางานไม่ได้มาก เนื่องจากปัญหาหลักๆ มาจากการที่เราไม่ได้เป็น EU citizen ตอนนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต ต้องใช้ความอดทน และต้องมีสติ รวมถึงความพยายามเป็นอย่างมากกว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้
สุดท้ายส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้งานก็มาจากคอนเนคชัน ดังนั้นจึงควรทำความรู้จักคนไว้ให้เยอะๆ เพราะคอนเนคชันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ความสามารถและความอดทนของเราเองด้วย
ชีวิตการทำงานที่เยอรมนี
ปัจจุบันเราทำงานอยู่ที่บริษัท Lactalis ประเทศเยอรมนี ตำแหน่ง Product Development (R&D) ซึ่งเป็นสายงานเดียวกับตอนทำอยู่ที่บริษัท Ajinomoto ในประเทศไทย โดย R&D มีหน้าที่คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้แก่บริษัท และการหาวิธีลดต้นทุนในการผลิต อีกทั้งยังรวมไปถึงการแนะนำแนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับบริษัทด้วย
เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมการทำงานที่ประเทศเยอรมนีก็ค่อนข้างแตกต่างจากประเทศไทยพอสมควร เพราะที่เยอรมนีจะไว้ใจและเชื่อใจพนักงาน ไม่ค่อยจู้จี้จุกจิก อีกทั้งยังมี Work-life balance ในการทำงานอย่างแท้จริง เพราะเราทำงาน 38-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีวันหยุด 30 วันต่อปี เมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้วก็คือเลิกงาน วันหยุดก็คือวันหยุด ดังนั้นเราชอบวัฒนธรรมการทำงานที่เยอรมนีมากกว่าไทย
ในท้ายที่สุดนี้อยากฝากถึงผู้ที่อยากได้ทุน Erasmus และย้ายไปอยู่ยุโรปว่า ควรตั้งใจ อดทน ไขว่คว้าหาโอกาสตลอดเวลา เพราะการได้ทุนนี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่เราต้องมี Passion และความพยายาม เมื่อฝันแล้วก็ต้องไปให้ถึงให้จงได้!