Future of work ในปีหน้าจะเป็นอย่างไร? เพื่อน ๆ พอนึกภาพรูปแบบการทำงานในปีหน้ากันออกไหม?
หลายปีมานี้การทำงานมีหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างติดจรวดที่อยู่เบื้องหลัง แต่ปีหน้ารูปแบบการทำงานจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนอีก และเราจะยังทำงานแบบ Hybrid กันอยู่ไหม หรือจะต้องเข้าออฟฟิศ 100% เหมือนเมื่อก่อน?
ถ้านึกไม่ออกวันนี้ ConNEXT ได้รวมมาให้แล้วกับ 5 เทรนด์อนาคตแห่งการทำงานของปี 2024! ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน
1. พนักงานเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น
ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาก็ทำให้การทำงานแบบ Hybrid, Flexible, Remote และการทำงานแบบเข้าออฟฟิศ 100% ยังคงมีอยู่และถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 100% ที่ตอนนี้น่าจะคงอยู่ในความสนใจของหลาย ๆ คนทั่วโลก
ผลการสำรวจ CEO Outlook ของ KPMG หนึ่งในบริษัทตรวจสอบบัญชีสี่แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่า 64% ของผู้นำทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะมีนโยบายให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศทั้งหมด ภายในปี 2026
นอกจากนี้ข้อมูลจาก Resume Builder แหล่งข้อมูลชั้นนำสำหรับผู้หางาน ยังแสดงให้เห็นว่ากว่า 90% ของบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ตั้งใจที่จะให้พนักงานทั้งหมดกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ ภายในสิ้นปีของปี 2024 อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การทำงานแบบยืดหยุ่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่พนักงานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ รายงานจาก McKinsey บริษัทที่ปรึกษาเบอร์ 1 ของโลก พบว่า 87% ของพนักงานจะรับข้อเสนอใหม่ หากได้รับความยืดหยุ่นในการทำงานมากกว่า
และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน โดย 4dayweek.com ได้เผยว่าการทดลองใช้งานทั่วโลกในช่วงแรกเมื่อพนักงานเปลี่ยนจากทำงานสัปดาห์ละ 5 วันเหลือเพียง 4 วัน ก็พบว่าองค์กรมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 36% และความเหนื่อยในการทำงานลดลงเหลือแค่ 68% ซึ่งเรื่องนี้อาจต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าประเทศไทยจะสามารถลดวันทำงานให้เหลือเพียง 4 วันเหมือนองค์กรอื่น ๆ ที่นำร่องไปแล้วได้หรือไม่?
2. เรื่องเงินเดือนจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างเปิดเผยมากขึ้น
หมดยุคช่องหว่างระหว่างเงินเดือนกับการเลือกปฏิบัติแล้ว เพราะเมื่อปี 2022 New York City ได้ออกกฎหมายบังคับใช้ให้นายจ้างต้องเปิดเผย เงินเดือนขั้นต่ำ-เงินเดือนสูงสุด เมื่อเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ เพื่อทำให้เรื่องเงินเดือนนั้นเป็นเรื่องที่โปร่งใส ยุติธรรม ลดช่องว่าง และสร้างความเท่าเทียมทั้งด้านเพศ ชนชาติ และเชื้อชาติ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีการปฏิบัติและการพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลเงินเดือนในที่ทำงาน
ในปี 2023 ผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้เงินของ Empower บริษัทที่ให้บริการทางการเงิน พบว่า โดยทั่วไปแล้วคน Gen Millennials (56%) และ Gen Z (49%) เปิดกว้างเกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องเงินมากกว่าคนรุ่นเก่า นอกจากนี้คน Gen Z (53%) และ Gen Millennials (58%) เต็มใจที่จะแบ่งปันข้อมูลเงินเดือนของตนบน LinkedIn เพื่อช่วยในการหางานอีกด้วย
ด้วยจำนวนคน Gen Z ที่เริ่มข้ามาทำงานเพิ่มมากขึ้น จึงคาดว่าความโปร่งใสของเงินเดือนจะกลายเป็นประเด็นสำคัญมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่การพูดคุยกันมากขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างการจ่ายเงินเดือนในปีหน้านั่นเอง
3. สนับสนุนการ Health and Well-Being และ ป้องกันการ Burnout อย่างต่อเนื่อง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเรื่อง Health and Well-Being ได้รับความสนใจมากขึ้น และสิ่งนี้อาจจะยังต้องดำเนินและปรับปรุงกันต่อไปในปีหน้า เพื่อลดผลกระทบจากการ Burnout ของพนักงาน
ตามรายงาน Aflac WorkForces บริษัทใน Fortune 500 ซึ่งให้ความคุ้มครองทางการเงินแก่ผู้ถือกรมธรรม์ ประจำปี 2023 ครั้งที่ 13 ได้เผยข้อมูลจากนายจ้างกว่า 1,200 รายและพนักงาน 2,000 รายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ว่าคนงานในสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่ง (57%) กำลังเผชิญกับภาวะ Burnout ในระดับปานกลาง ซึ่งจะมักเกิดจากความเครียดในที่ทำงาน และมีเพียง 48% เท่านั้นที่เชื่อว่านายจ้างใส่ใจความต้องการด้านสุขภาพจิตของตนอย่างจริงจัง
และเพื่อแก้ไขปัญหานี้ นายจ้างสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ด้านสุขภาพจิต และปรับปรุงระบบการทำงานรวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนพนักงานได้ เหนือไปกว่านั้นการประเมินวัฒนธรรมในที่ทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกให้พนักงานมีกำลังใจในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. มีการใช้ Generative AI ร่วมกับการทำงานมากขึ้น
ช่วงหลังของปี 2023 มีการนำ Generative AI มาใช้ในงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ได้เข้ามาทำให้เครื่องมือ AI กลายเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงและใช้งานได้ง่ายมากขึ้น โดยเครื่องมือเหล่านี้สามารถสร้างทั้งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เสียง และช่วยไกด์ไอเดียให้การทำงานง่ายมากยิ่งขึ้น
ในเดือนพฤษภาคม 2023 การวิจัยจาก WE Communications (WE) และ USC Annenberg Center for Public Relations เปิดเผยว่า 59% ของผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มทดลองใช้ฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเผยว่าเรายังคงต้องพัฒนาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อให้การใช้งาน AI มีประสิทธิภาพสูงสุด
และในปี 2024 จึงมีการคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในการทำความเข้าใจ AI ว่าสามารถช่วยธุรกิจได้อย่างไร? และการดำเนินการนี้จะส่งผลต่อบทบาทและความรับผิดชอบของพนักงานอย่างไร? ถึงแม้ว่า Generative AI จะเป็นเรื่องที่ยังค่อนข้างใหม่ แต่ทั้งนายจ้างและพนักงานก็ควรเปิดใจเรียนรู้ เพื่อใช้ประโยชน์จาก AI ให้ได้มากที่สุด
เพราะ AI ไม่ได้เข้ามาเพื่อแทนที่คน แต่คนที่สามารถใช้ AI ได้ต่างหากที่จะเข้ามาแทนที่คนที่ไม่สามารถทำได้
5. การทำงานจะใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและโลกมากขึ้น
แม้ว่าบริษัทนั้นจะไม่ได้ทำธุรกิจด้านพลังงานหรือสาธารณูปโภคที่ส่งผลกระทบโดยตรง แต่ทุกบริษัทก็สามารถทำอะไรเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุดได้ โดยการปรับแนวทางการทำงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ซํ้า การลดขยะ การรีไซเคิล หรือการใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งนี่อาจจะกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงและปฏิบัติกันมากขึ้นในปีหน้า
และนี่คือ Future of work in 2024 ที่เรากำลังจะได้เจอในปีหน้า ที่เพื่อน ๆ ไม่ควรพลาด! เพื่อจะได้เตรียมตัวได้อย่างสบาย ๆ
เพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไรบ้างกับ Future of work in 2024 ที่กำลังจะมาถึงไม่กี่วันนี้ มีเทรนด์ไหนที่ตรงกับใจเพื่อน ๆ บ้าง? มาแสดงความคิดเห็นและคุยประเด็นนี้กัน!
อ้างอิง Forbes