Future of work in 2024 อนาคตในการทำงานปีหน้าที่คุณต้องรู้! | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
Future of work in 2024 อนาคตในการทำงานปีหน้าที่คุณต้องรู้!
By Chanapa Siricheevakesorn ธันวาคม 18, 2023
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

Future of work ในปีหน้าจะเป็นอย่างไร? เพื่อน ๆ พอนึกภาพรูปแบบการทำงานในปีหน้ากันออกไหม? 

หลายปีมานี้การทำงานมีหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างติดจรวดที่อยู่เบื้องหลัง แต่ปีหน้ารูปแบบการทำงานจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนอีก และเราจะยังทำงานแบบ Hybrid กันอยู่ไหม หรือจะต้องเข้าออฟฟิศ 100% เหมือนเมื่อก่อน?

ถ้านึกไม่ออกวันนี้ ConNEXT ได้รวมมาให้แล้วกับ 5 เทรนด์อนาคตแห่งการทำงานของปี 2024! ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน

Future of work

1. พนักงานเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น

ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาก็ทำให้การทำงานแบบ Hybrid, Flexible, Remote และการทำงานแบบเข้าออฟฟิศ 100% ยังคงมีอยู่และถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 100% ที่ตอนนี้น่าจะคงอยู่ในความสนใจของหลาย ๆ คนทั่วโลก 

ผลการสำรวจ CEO Outlook ของ KPMG หนึ่งในบริษัทตรวจสอบบัญชีสี่แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่า 64% ของผู้นำทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะมีนโยบายให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศทั้งหมด ภายในปี 2026 

นอกจากนี้ข้อมูลจาก Resume Builder แหล่งข้อมูลชั้นนำสำหรับผู้หางาน ยังแสดงให้เห็นว่ากว่า 90% ของบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ตั้งใจที่จะให้พนักงานทั้งหมดกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ ภายในสิ้นปีของปี 2024 อีกด้วย 

อย่างไรก็ตาม การทำงานแบบยืดหยุ่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่พนักงานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ รายงานจาก McKinsey บริษัทที่ปรึกษาเบอร์ 1 ของโลก พบว่า 87% ของพนักงานจะรับข้อเสนอใหม่ หากได้รับความยืดหยุ่นในการทำงานมากกว่า

และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน โดย 4dayweek.com ได้เผยว่าการทดลองใช้งานทั่วโลกในช่วงแรกเมื่อพนักงานเปลี่ยนจากทำงานสัปดาห์ละ 5 วันเหลือเพียง 4 วัน ก็พบว่าองค์กรมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 36% และความเหนื่อยในการทำงานลดลงเหลือแค่ 68% ซึ่งเรื่องนี้อาจต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าประเทศไทยจะสามารถลดวันทำงานให้เหลือเพียง 4 วันเหมือนองค์กรอื่น ๆ ที่นำร่องไปแล้วได้หรือไม่?

2. เรื่องเงินเดือนจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างเปิดเผยมากขึ้น

หมดยุคช่องหว่างระหว่างเงินเดือนกับการเลือกปฏิบัติแล้ว เพราะเมื่อปี 2022 New York City ได้ออกกฎหมายบังคับใช้ให้นายจ้างต้องเปิดเผย เงินเดือนขั้นต่ำ-เงินเดือนสูงสุด เมื่อเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ เพื่อทำให้เรื่องเงินเดือนนั้นเป็นเรื่องที่โปร่งใส ยุติธรรม ลดช่องว่าง และสร้างความเท่าเทียมทั้งด้านเพศ ชนชาติ และเชื้อชาติ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีการปฏิบัติและการพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลเงินเดือนในที่ทำงาน

ในปี 2023 ผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้เงินของ Empower บริษัทที่ให้บริการทางการเงิน พบว่า โดยทั่วไปแล้วคน Gen Millennials (56%) และ Gen Z (49%) เปิดกว้างเกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องเงินมากกว่าคนรุ่นเก่า นอกจากนี้คน Gen Z (53%) และ Gen Millennials (58%) เต็มใจที่จะแบ่งปันข้อมูลเงินเดือนของตนบน LinkedIn เพื่อช่วยในการหางานอีกด้วย

ด้วยจำนวนคน Gen Z ที่เริ่มข้ามาทำงานเพิ่มมากขึ้น จึงคาดว่าความโปร่งใสของเงินเดือนจะกลายเป็นประเด็นสำคัญมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่การพูดคุยกันมากขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างการจ่ายเงินเดือนในปีหน้านั่นเอง

3. สนับสนุนการ Health and Well-Being และ ป้องกันการ Burnout อย่างต่อเนื่อง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเรื่อง Health and Well-Being ได้รับความสนใจมากขึ้น และสิ่งนี้อาจจะยังต้องดำเนินและปรับปรุงกันต่อไปในปีหน้า เพื่อลดผลกระทบจากการ Burnout ของพนักงาน

ตามรายงาน Aflac WorkForces บริษัทใน Fortune 500 ซึ่งให้ความคุ้มครองทางการเงินแก่ผู้ถือกรมธรรม์ ประจำปี 2023 ครั้งที่ 13 ได้เผยข้อมูลจากนายจ้างกว่า 1,200 รายและพนักงาน 2,000 รายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ว่าคนงานในสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่ง (57%) กำลังเผชิญกับภาวะ Burnout ในระดับปานกลาง ซึ่งจะมักเกิดจากความเครียดในที่ทำงาน และมีเพียง 48% เท่านั้นที่เชื่อว่านายจ้างใส่ใจความต้องการด้านสุขภาพจิตของตนอย่างจริงจัง

และเพื่อแก้ไขปัญหานี้ นายจ้างสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ด้านสุขภาพจิต และปรับปรุงระบบการทำงานรวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนพนักงานได้ เหนือไปกว่านั้นการประเมินวัฒนธรรมในที่ทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกให้พนักงานมีกำลังใจในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

4. มีการใช้ Generative AI ร่วมกับการทำงานมากขึ้น

ช่วงหลังของปี 2023 มีการนำ Generative AI มาใช้ในงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ได้เข้ามาทำให้เครื่องมือ AI กลายเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงและใช้งานได้ง่ายมากขึ้น โดยเครื่องมือเหล่านี้สามารถสร้างทั้งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เสียง และช่วยไกด์ไอเดียให้การทำงานง่ายมากยิ่งขึ้น 

ในเดือนพฤษภาคม 2023 การวิจัยจาก WE Communications (WE) และ USC Annenberg Center for Public Relations เปิดเผยว่า 59% ของผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มทดลองใช้ฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเผยว่าเรายังคงต้องพัฒนาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อให้การใช้งาน AI มีประสิทธิภาพสูงสุด

และในปี 2024 จึงมีการคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในการทำความเข้าใจ AI ว่าสามารถช่วยธุรกิจได้อย่างไร? และการดำเนินการนี้จะส่งผลต่อบทบาทและความรับผิดชอบของพนักงานอย่างไร? ถึงแม้ว่า Generative AI จะเป็นเรื่องที่ยังค่อนข้างใหม่ แต่ทั้งนายจ้างและพนักงานก็ควรเปิดใจเรียนรู้ เพื่อใช้ประโยชน์จาก AI ให้ได้มากที่สุด  

เพราะ AI ไม่ได้เข้ามาเพื่อแทนที่คน แต่คนที่สามารถใช้ AI ได้ต่างหากที่จะเข้ามาแทนที่คนที่ไม่สามารถทำได้

5. การทำงานจะใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและโลกมากขึ้น

แม้ว่าบริษัทนั้นจะไม่ได้ทำธุรกิจด้านพลังงานหรือสาธารณูปโภคที่ส่งผลกระทบโดยตรง แต่ทุกบริษัทก็สามารถทำอะไรเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุดได้ โดยการปรับแนวทางการทำงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ซํ้า การลดขยะ การรีไซเคิล หรือการใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งนี่อาจจะกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงและปฏิบัติกันมากขึ้นในปีหน้า

และนี่คือ Future of work in 2024 ที่เรากำลังจะได้เจอในปีหน้า ที่เพื่อน ๆ ไม่ควรพลาด! เพื่อจะได้เตรียมตัวได้อย่างสบาย ๆ 

เพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไรบ้างกับ Future of work in 2024 ที่กำลังจะมาถึงไม่กี่วันนี้ มีเทรนด์ไหนที่ตรงกับใจเพื่อน ๆ บ้าง? มาแสดงความคิดเห็นและคุยประเด็นนี้กัน!

อ้างอิง Forbes

No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/talent-insights/future-of-work-in-2024