เมื่อกล่าวถึงโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ไป “ทำงานอย่างถูกกฎหมาย” ในต่างประเทศ หลายคนคงคิดถึงโครงการ Work&Travel หรือ Work&Study เป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว
แต่จะมีหนทางอื่นอีกมั้ยนะ ที่เราจะสามารถทำงานอย่างถูกกฎหมาย และใช้ชีวิตในต่างประเทศได้อย่างอิสระ?
เพื่อหาคำตอบที่ทุกคนอยากรู้ ConNext จึงได้สัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับคุณเตย ศิษย์เก่าจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการ Au Pair ในฐานะพี่เลี้ยงเด็กและได้ใช้ชีวิตแบบสุดคุ้ม ณ ประเทศฝรั่งเศส เป็นเวลากว่า 1 ปีเต็ม
สำหรับใครที่สนใจและกำลังมองหาลู่ทางที่จะได้ไปใช้ชีวิตต่างประเทศแบบแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ห้ามพลาด!
‘AuPairWorld’ คือ อะไร? และรู้จักโครงการนี้ได้อย่างไร?
AuPairWorld คือ โครงการที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาและคนวัยทำงานที่มีอายุตั้งแต่ 18-30 ปี ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโฮสต์แฟมิลี่ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างผ่านการดูแลเด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์ใช้ชีวิตในต่างประเทศ อีกทั้งยังได้พัฒนาภาษากับเจ้าของภาษา และทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต
ยิ่งกว่านั้น คนที่เข้าร่วมโครงการ AuPairWorld สามารถเดินทางท่องเที่ยวและใช้ชีวิตในต่างประเทศได้ เป็นระยะเวลา 1-2 ปี พร้อมรับทุนการศึกษาและค่าตอบแทนระหว่างเข้าร่วมโครงการออแพร์อีกด้วยเรียกได้ว่าได้ทั้งประสบการณ์และค่าตอบแทนเลยทีเดียว
คุณเตยบอกกับเราว่า ได้รู้จักโครงการนี้จากเรื่องราวของเพื่อนที่เคยไปมาก่อนแล้ว และเนื่องจากตนเองอยากหยุดพักจากการเรียน เพื่อไปเรียนรู้หรือหาประสบการณ์ให้กับชีวิต จึงสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ AuPairWorld อย่างแน่วแน่
โดยคุณเตยเลือกที่จะไม่สมัครเข้าร่วมโครงการผ่าน Agency และสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ของ AuPairWorld โดยตรง พร้อมแอบกระซิบว่า ค่าใช้จ่ายถูกกว่าเยอะเลยล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็จำเป็นต้องคุยกับครอบครัวที่เราจะไปอาศัยอยู่ด้วยเองทั้งหมดเช่นกัน
ถ้าจะสมัครต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง? รีวิวขั้นตอนการสมัครและเตรียมตัวหน่อย
แน่นอนว่าการไปโครงการนี้ กฎเหล็กข้อสำคัญ คือ ‘ต้องรักเด็ก’ เราต้องเข้าใจและดูแลน้อง ๆ เหมือนดั่งคนในครอบครัว เนื่องจากเราจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนั้นนั่นเอง
สำหรับคุณสมบัติที่ต้องมีเลย คือ จะต้องอายุระหว่าง 18-30 ปี มีประสบการณ์การดูแลเด็ก ๆ (คุณเตยแนะนำว่า คนที่ยังเรียนอยู่และมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กจะค่อนข้างถูกเลือกเยอะนะ) สามารถทำความสะอาดบ้านและทำอาหารได้ มีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนถ้าครอบครัวไหนบ้านไกลจากโรงเรียน เราก็ต้องมีใบขับขี่ เรียกว่าคุณสมบัติไม่ต้องเยอะมาก หากเราเลือกติดต่อกับครอบครัวเอง แต่ต้องพูดคุยรายละเอียดกับโฮสต์แฟมิลี่ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก
สำหรับใครที่อยากเข้าร่วมโครงการ แต่กลัวพลาดเรื่องรายละเอียดยิบย่อยที่เราต้องจัดการเอง แนะนำให้เลือกไปผ่านเอเจนซี่ได้เลย แต่ก็ต้องระวังและตรวจสอบกันให้ดี ๆ ก่อนล่ะ
ในส่วนของการสมัครผ่านเว็บไซต์ AuPairWorld นั้น เราสามารถลงทะเบียนและกรอกประวัติเอาไว้ จากนั้นก็ตอบคำถามต่าง ๆ ที่จะทำให้โฮสต์รู้จักเรามากขึ้น เช่น กิจกรรมยามว่างของเราคืออะไร เราสนใจในเรื่องอะไร เป็นต้น
โดยภายในเว็บไซต์ เราสามารถเลือกครอบครัวที่เราอยากไปอยู่ด้วย เพียงแค่กด Find a family แล้วเลือกประเทศที่เราอาศัยอยู่และเพศของเรา จากนั้นเลือกประเทศและวันเวลาที่เราต้องการไปได้เลย ซึ่งเราสามารถเลือกครอบครัวที่เหมาะสมกับเราได้ผ่านรายละเอียดที่เค้าได้เขียนบอกไว้ เช่น ที่บ้านมีเด็กกี่คน มีคนในครอบครัวกี่คน มีสัตว์เลี้ยงหรือไม่
จากนั้นเมื่อมีโฮสต์แฟมิลี่สนใจเรา จะมีการนัดพูดคุยกันเพื่อสร้างความคุ้นเคย รวมถึงพูดคุยเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งเรื่องเอกสารที่เราต้องทำ เช่น การขอวีซ่าผ่านสถาณฑูตที่มีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งทางโฮสต์แฟมิลี่จะต้องติดต่อให้เราด้วย
สำหรับคุณเตยนั้น เธอใช้เวลาในการค้นหาโฮสต์แฟมิลี่อยู่ประมาณ 5 เดือน จากการพูดคุยกันผ่าน Skype เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันกับครอบครัวนั้นได้นั่นเอง
ส่วนเรื่องของค่าใช้จ่าย จะมีค่าทำวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าประกันชีวิต ค่าเรียนภาษา (เราสามารถตกลงกับโฮสต์แฟมิลี่ได้ ว่าเราต้องการให้เค้าช่วยค่าเล่าเรียนเราไหม) และเงินติดตัวนิดหน่อย เผื่อเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน คุณเตยแอบบอกว่ารวม ๆ แล้วประมาณห้าหมื่นนิด ๆ เองนะ
จำเป็นต้องเก่งภาษาไหม? สามารถเดินทางไปประเทศไหนได้บ้าง? และอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เราเลือกฝรั่งเศส
แน่นอนอยู่แล้วว่าการไปเป็นพี่เลี้ยงของเด็ก ที่ต้องคอยดูแลและช่วยเหลือน้อง ๆ เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ความรักและเอ็นดูเหล่าน้อง ๆ จึงถือว่าสำคัญมากเลยล่ะ
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนมักจะสงสัย คือ ทักษะทางภาษาและการสื่อสาร หากพูดภาษาอื่นไม่ได้นอกจากภาษาไทย จะไปได้มั้ยนะ ?
คำตอบ คือ เราควรมีความรู้พื้นฐานภาษานั้น ๆ มาบ้าง เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยคุณเตยแนะนำว่า ถ้าหากต้องดูแลเด็กที่กำลังหัดพูด เราควรแน่ใจว่าเราพูดกับน้องได้ถูกต้อง เพราะน้องจะเลียนแบบและจดจำคำที่เราพูดไปใช้นั่นเอง
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีทักษะทางภาษาที่ดีนัก ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลจนเกินไป เพราะ จริง ๆ แล้ว เราสามารถเรียนภาษาเพิ่มเติมในวันหยุด หรือเวลาว่างระหว่างน้องไปโรงเรียน อีกทั้งยังสามารถพูดคุยเพื่อฝึกฝนทักษะการพูดกับคนในครอบครัวได้อีกด้วย คุณเตยได้ให้เคล็ดลับในการฝึกภาษามาว่า “ควรพยายามอย่าอายที่จะพูด กล้าที่จะเรียนรู้เข้าไว้”
ส่วนแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณเตยเลือกไปประเทศฝรั่งเศส เนื่องจากคุณเตยเรียนภาษาฝรั่งเศสอยู่ก่อนแล้ว จึงอยากเรียนรู้ให้มากขึ้น และด้วยเป็นคนรักเด็ก จึงได้ตัดสินใจเลือกเข้าร่วมโครงการนี้ในท้ายที่สุด
เล่าประสบการณ์ตอนเจอโฮสต์ครั้งแรกหน่อย ต้องปรับตัวเยอะมั้ย มีความเป็นอยู่อย่างไร?
เรียกได้ว่านับเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สุดคุ้มมาก ๆ สำหรับคุณเตย เนื่องจากคุณเตยได้ย้ายบ้านและโฮสต์แฟมิลี่ถึง 3 หลังด้วยกัน
เริ่มจากบ้านหลังแรก คุณเตยได้เลือกเองจากเว็บไซต์ AuPairWorld โดยตรง ดังนั้นจึงมีการติดต่อกันอยู่บ้างแล้ว แต่ด้วยความที่โฮสต์แรกมีเชื้อสายจีน คุณเตยเล่าว่า เค้าจะค่อนข้างดุเวลาเราทำผิด อีกทั้งเค้าค่อนข้างพูดน้อย ทำให้การปรับตัวในช่วงแรก จึงมีแต่ความเครียดเต็มไปหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวนี้ได้ให้สถานะกับคุณเตยเป็นเพียงแค่คนทำงานคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น น้อง ๆ จึงไม่ค่อยเชื่อฟังมากนัก แม้ว่าคุณเตยได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหา เช่น หาเกมให้น้องเล่น พยายามสานสัมพันธ์กับน้อง ๆ แล้วก็ตาม แต่สถาการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น คุณเตยจึงได้มีการพูดคุยกับโฮสต์คนแรกว่าอยากเปลี่ยนบ้าน จึงได้ตกลงกันในเรื่องของเอกสาร เช่น เซ็นต์ใบลาออก และติดต่อกับทางการว่าเราย้ายบ้านแล้วนะ
แต่การค้นหาบ้านและโฮสต์แฟมิลี่ เพื่อให้อยู่ประเทศฝรั่งเศสต่อไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตามกฎหมายแล้ว หากเราไม่สามารถหาโฮสต์ต่อไปได้ภายใน 1 เดือน เราจะต้องกลับประเทศไทย ยังโชคดีที่คุณเตยมีเพื่อนสนิทอยู่ที่ฝรั่งเศสพอดี จึงได้ย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนระหว่างที่หาบ้านต่อไป
จากนั้น เหตุการณ์เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ เมื่อคุณเตยได้พบกับโฮสต์คนที่สองผ่าน Facebook พอคุยกันแล้วรู้สึกถูกคอ จึงได้ตัดสินใจย้ายไปเลย แล้วก็ได้พบว่าคุณเตยเองแทบจะไม่ต้องปรับตัวเลย เพราะโฮสเป็นกันเองมาก ๆ อาจเป็นเพราะโฮสต์มีอาชีพเป็นแอร์โฮสเตสด้วย จึงชอบพูดคุยและเข้าใจคุณเตยได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากอยู่กับครอบครัวนี้ได้ซักพัก ก็ต้องย้ายบ้านอีกรอบ เนื่องจากคุณแม่กับคุณพ่อของน้องหย่ากันแล้ว และมีประเด็นของสิทธิในการเลี้ยงดูน้อง ทำให้คุณเตยได้ย้ายไปบ้านหลังที่สาม ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของโฮสต์เอง
ซึ่งบ้านของโฮสต์คนที่สองกับสามไม่ไกลกันมาก คุณเตยเลยย้ายบ้านไปหลังที่สามได้เลย ในช่วงแรกจะค่อนข้างยาก เพราะน้องยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับคุณเตย เนื่องจากน้องยังเด็กมาก และคุณพ่อคุณแม่เป็นนักบินกับแอร์โฮสเตส ทำให้ต้องไปทำงานด้วยกันตลอด แต่สุดท้าย คุณพ่อคุณแม่ก็ช่วยเหลือให้น้องยอมรับคุณเตยในที่สุด
มีช่วงที่ท้อแท้อยากกลับบ้านบ้างไหม เจออุปสรรคอะไรบ้าง?
เนื่องจากความต่างทางวัฒนธรรม ความไม่เข้าใจกันย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้ว ยิ่งต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวต่างแดน ก็ยิ่งเกิดความกดดันเพิ่มขึ้นไปอีก
คุณเตยได้เล่าถึงปัญหาที่ได้พบเจอในการเข้าไปอยู่กับครอบครัวแรกว่า ด้วยความที่ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งและมีกฎระเบียบมาก คุณเตยรู้สึกถูกกดดันทุกทาง ทั้งเรื่องการเรียนภาษา เรื่องทำความสะอาด และเรื่องดูแลน้อง ๆ อีกทั้งโฮสต์ยังไม่ช่วยแก้ปัญหาหรือช่วยเหลือคุณเตยเลย ทำให้สถานการณ์ในตอนนั้นตึงเครียดไปหมด
แต่สุดท้าย ฟ้าหลังฝนย่อมดีเสมอ จากที่เคยอยากกลับบ้านมาก ๆ เพราะปรับตัวและทนรับความกดดันจากครอบครัวแรกไม่ไหว แต่ไม่อยากกลับเพราะครอบครัวที่สองและสามอบอุ่นมาก ๆ
เหตุการณ์ที่ประทับใจจนทุกวันนี้?
แน่นอนว่าการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะยากซะทีเดียว คุณเตยได้เล่าเหตุการณ์ที่จำไม่ลืมจนทุกวันนี้ เริ่มจากบ้านหลังที่สอง คุณเตยได้สอนการบ้านให้น้องจนได้อันดับหนึ่งของชั้นทำให้น้องภูมิใจในตัวเองมาก ๆ และให้น้องสอนเล่นเกมบอล ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทำให้สนิทกับน้องมากขึ้น อีกทั้งครอบครัวนี้ยังดูแลคุณเตยเหมือนกับเป็นพี่สาวคนโตคนหนึ่งเลยล่ะ
อีกเหตุการณ์ที่คุณเตยประทับใจ คือตอนที่สอนน้องจากบ้านที่สามพูดภาษาอังกฤษ แล้วน้องจำไปพูดกับคุณพ่อคุณแม่ ทำให้รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
ซึ่งจนถึงทุกวันนี้คุณเตยก็ยังคงติดต่อกับครอบครัวทั้งสองอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเหมือนได้ครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกสองครอบครัวเลย
มีคำแนะนำอะไร ฝากถึงคนที่อยากร่วมโครงการ AuPairWorld ไหม?
คุณเตยได้บอกว่า ควรพยายามเปิดใจให้กว้างในเรื่องของความต่างทางด้านวัฒนธรรมหรือการใช้ชีวิต และแนะนำเลือกโฮสต์ดี ๆ จะมีชัยไปกว่าครึ่งเลย อีกทั้งเราควรที่จะกล้าขออะไรเพื่อตัวเอง เช่น ค่าเรียนภาษา ในส่วนของการดูแลน้อง ๆ นั้นเราจะต้องใจเย็น ที่สำคัญต้องอย่าขี้อาย ในเวลาที่น้องทำผิด ควรดุน้องบ้าง ทำตัวเป็นพี่คนโตมากกว่าเพื่อนเล่นน้อง ๆ
เรียกได้ว่า AuPairWorld เป็นอีกหนึ่งในโครงการที่ได้ทั้งประสบการณ์การทำงาน ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง และได้ความทรงจำดี ๆ กลับมาเพียบเลย ใครที่ยังมีโอกาสก็อย่าพลาดที่จะไปซักครั้งในชีวิตกันนะ
อ้างอิง: aupairworld