เมื่อพูดถึงประเทศเกาหลี แน่นอนว่าหลายคนคงอยากลองไปเรียนต่อและไปใช้ชีวิตที่ประเทศเกาหลีดูสักครั้ง แล้วรู้หรือไม่ว่าเราจะสามารถไปเรียนต่อเกาหลีทางไหนได้บ้าง? แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถทำงานที่ประเทศเกาหลีได้?
บทความนี้ ConNEXT จะพาไปดูเส้นทางของคุณกิตินัทธ์ อ่อนสี เด็กจบใหม่ที่ได้ทุน AUN ไปเรียนภาษาเกาหลีฟรี อีกทั้งยังได้ทุนรัฐบาลเกาหลีหรือ GKS เพื่อศึกษาต่อปริญญาโท เรามาดูกันว่ากว่าจะมีงานทำที่ประเทศเกาหลีในวันนี้คุณกิตินัทธ์ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
“ภาษาเกาหลี” ไม่ได้มีดีไว้แค่ติ่งอย่างเดียว
ย้อนกลับไปตอนเรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนั้นเราเรียนภาษาเกาหลีเป็นวิชาโทและสอนพิเศษภาษาเกาหลีบ้างด้วย อีกทั้งตอนนั้นเราชอบ K-pop มาก แล้วรู้สึกว่าถ้าเราพูดเกาหลีได้ก็น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะตอนนั้นคนที่มีความรู้ด้านภาษาเกาหลียังมีไม่ค่อยมาก และเราก็รู้สึกว่าหากเรามีความรู้ภาษาเกาหลีก็สามารถนำไปใช้ทำอย่างอื่นได้ เช่น ล่าม ครูสอนภาษาเกาหลี และอื่นๆ สิ่งนี้ก็ทำให้เห็นได้ว่านอกจากแค่ติ่งอย่างเดียว แต่เรายังสามารถนำความรู้ที่มีไปใช้ทำประโยชน์ได้อีกหลายอย่าง
ก่อนที่เราจะไปเรียนภาษาต่อก็ไม่เคยทำงานอะไรมาก่อน เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ และกำลังจะหางาน แต่ทุนเกาหลีตัวหนึ่งที่สมัครไปประกาศผลออกมาก่อน จึงตัดสินใจมาเรียนภาษาต่อที่ประเทศเกาหลี
เตรียมตัวอย่างไรให้ได้ทุนเรียนภาษา AUN?
ทุนภาษาที่เราได้ชื่อว่า Asean University Network Scholarship (AUN) เป็นทุนที่ Seoul National University เป็นมหาวิทยาลัยหลักที่ให้ทุนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยในประเทศอาเซียนสมัครเข้าไป หลังจากนั้นเขาก็จะ Offer ทุนมาให้ ซึ่งจะเป็นทุนให้ไปเรียนภาษาที่โรงเรียนสอนภาษาในมหาวิทยาลัยนั้นๆ
ทุนนี้เป็นทุน 100% มีให้ทั้งค่าเทอม ค่ากินอยู่ ค่าที่พัก และค่าตั๋วไป-กลับให้ หากถามว่าค่ากินอยู่พอกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ โดยส่วนตัวแล้วเรารู้สึกว่าหากประหยัดหน่อยก็คงพอ แต่สำหรับเรารู้สึกว่าไม่ค่อยพอเท่าไหร่ เนื่องจากอยู่เกาหลีมีสิ่งล่อตาล่อใจและสิ่งที่ชอบหลายๆ อย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
สำหรับผู้ที่สนใจทุนนี้หลักๆ เลยคือต้องเขียน Personal Statement และ Statement of Purpose ให้ชัดว่าหากเราได้ทุนไปเรียนภาษาต่อแล้วเราจะนำความรู้ตรงนั้นไปใช้ทำอะไรต่อ นอกจากนี้ก็ควรมีผลสอบวัดระดับภาษาเกาหลีด้วย เนื่องจากทางคณะกรรมการจะเห็นได้ว่าเราสนใจเรียนภาษาเกาหลีจริงๆ อีกทั้งกิจกรรมที่เคยทำมาก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะเขาจะดูว่าเราทำกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวข้องกับภาษาเกาหลีมาก่อนบ้าง
ก่อนสมัครทุนเราก็เตรียมตัวมาพอสมควรในเรื่องการเขียนเรียงความและการสอบวัดระดับภาษาออกมาให้คณะกรรมการรู้สึกว่าเราสนใจภาษาเกาหลีจริงๆ เพราะว่าระหว่างผู้สมัครทุนที่รู้ภาษาเกาหลีโดยมีหลักฐานยืนยันกับผู้ที่ไม่เคยมีความรู้มาก่อน แน่นอนว่าคณะกรรมการจะต้องเห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้ที่มีความรู้พื้นฐานมาก่อนและให้โอกาสคนนั้นไปพัฒนาภาษาต่อให้มีความรู้สูงขึ้น
บรรยากาศในการเรียนประเทศเกาหลี
ตอนเข้าไปเรียนภาษา เราไม่ได้เข้าไปเป็นเด็กมาวิทยาลัยจริงๆ แต่เข้าไปเรียนโรงเรียนสอนภาษาของมหาวิทยาลัยนั้นๆ โดยตรง ในห้องก็จะไม่มีคนเกาหลีเลย แต่ก็อาจจะมีเพื่อนเกาหลีบางคนที่เป็นลูกครึ่งแล้วภาษายังไม่แข็งแรงมาเรียนด้วย
นอกจากนี้ครูคนสอนก็เป็นคนเกาหลี บรรยากาศในห้องก็ไม่ได้มีความเคร่งเครียดอะไร เพราะอาจารย์ก็จะคอยช่วยเราฝึกทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน อีกทั้งยังมีสื่อการเรียนการสอนให้ดู และมีการแชร์เรื่องต่างๆ ของเพื่อนในห้องที่มาจากหลายๆ ประเทศ เช่น การคุยกันว่าประเทศเธอเป็นอย่างไรบ้าง การคุยทั้งหมดก็จะคุยเป็นภาษาเกาหลีเป็นหลัก ทำให้เราได้ฝึกภาษาเกาหลีทุกวัน
แต่เมื่อเทียบกับการเรียนปริญญาโทที่ประเทศเกาหลีแล้วพูดได้คำเดียวเลยว่า ‘เครียด’ เนื่องจากด้วยเนื้อหาและเพื่อนตอนเรียนปริญญาโทมีความแตกต่างจากตอนเรียนปริญญาตรีพอสมควร โดยส่วนใหญ่เพื่อนคนเกาหลีก็จะต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าเรามีเพื่อนสนิทก็จะช่วยเรื่องนี้ได้มาก อย่างเราเองก็มีเพื่อนสนิทเป็นคนจีน เมื่อถึงเวลาใกล้สอบก็จะมาติวและอ่านหนังสือด้วยกัน
ก้าวแรกสู่การเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเกาหลี
เมื่อพูดถึงบรรยากาศในห้องเรียนตอนเรียนปริญญาโทไปแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราเรียนอะไร? หลังจากที่เราเรียนภาษาจบสักพัก เราก็ได้เรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเกาหลี คณะเกาหลีศึกษา โดยเราได้ทุน GKS เป็นทุนรัฐบาลเกาหลีที่มีให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกเปิดรับสมัครปีละ 2 รอบ
ในรอบแรกจะเป็นรอบของนักเรียนมัธยมปลายที่สนใจเรียนต่อปริญญาตรีที่ประเทศเกาหลี โดยจะเปิดรับสมัครประมาณช่วงเดือนตุลาคม ส่วนอีกรอบหนึ่งจะเป็นของปริญญาโทกับปริญญาเอก จะเปิดรับทุกๆ เดือนกุมภาพันธ์ ตอนนี้ก็เปิดรับสมัครอยู่
โดยเราสามารถสมัครสาขาไหนหรือมหาวิทยาลัยใดก็ได้ที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลเกาหลีว่าจะเปิดรับสมัครทุน เมื่อสมัครเข้าไปแล้ว เขาก็จะมาพิจารณาอีกทีว่าใครจะเป็นผู้ที่ได้รับทุนบ้าง และหากเราได้รับทุนแล้วแต่ไม่มีความรู้ภาษาเกาหลีก็จะได้เรียนปรับพื้นฐานภาษาเกาหลีฟรีๆ 1 ปีก่อนเรียนปริญญาโท
การเรียนปริญญาโทไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีอุปสรรคกว่าที่คิด
ปัญหาหลักๆ ที่เจอในการเรียนคือเรื่องภาษา เพราะว่าด้วยเนื้อหาในการเรียนปริญญาโทแล้ว เอกสารต่างๆ ก็จะมีทั้งภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษปนๆ กันไป แล้วเราเป็นคนต่างชาติ ภาษาเกาหลีในเอกสารการเรียนก็จะเป็นคนละระดับกับตอนทุนเรียนภาษา แต่ช่วงแรกๆ เราก็ต้องปรับตัว พยายามทำใจให้ชินและเปิดกว้างเข้าไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถแนะนำได้คือ การมีเพื่อนช่วยเรื่องภาษาเราได้ดีมาก
เราไม่มีทางรู้ทุกอย่าง ดังนั้นเราจึงพยายามเท่าที่เราได้และทำเท่าที่เราไหว
ส่วนอุปสรรคอีกเรื่องหนึ่งคงเป็นเรื่องของอาจารย์ เนื่องจากอาจารย์ไทยและอาจารย์เกาหลีต่างกันด้วยนิสัย วัฒนธรรม และการเข้าหา โดยอาจารย์เกาหลีเราสามารถเข้าหาได้ยากกว่าอาจารย์ไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราเป็นเด็กต่างชาติ ทำให้ภาษายังไม่แข็งแรงและสื่อสารกันไม่ได้มากขนาดนั้น ส่วนอีกสาเหตุเป็นเพราะนักเรียนเกาหลีจะเคารพและยกย่องอาจารย์มาก การคุยเล่นกันหรือสนิทกันก็จะน้อยมากเมื่อเทียบกับอาจารย์ไทย
นอกจากนี้ เนื่องจากในห้องมีนักเรียนชาวต่างชาติซึ่งผ่านวิธีการเรียนมาต่างกัน อย่างทางยุโรปหรืออเมริกาก็จะมีการเรียนกันแบบ Active โต้ตอบกันตลอดจนเป็นนิสัย แต่สำหรับประเทศไทยเราค่อนข้างที่จะ Passive และด้วยความที่เราไม่ค่อยมีความมั่นใจในการพูดในห้องเท่าไหร่เพราะเรื่องภาษาด้วย ตอนนั้นก็เลยรู้สึกเครียดว่าทำไมเพื่อนพูดได้อย่างกระฉับกระเฉง แต่เราผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยการเปลี่ยนจากการตอบคำถามไม่ได้เป็นการถามคำถามอาจารย์ให้มากขึ้น และต้องพยายามอ่านหนังสือก่อนเข้าเรียนเพื่อตามเพื่อนให้ทัน
การทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนปริญญาโทที่ว่ายากก็ผ่านมาแล้ว!
ช่วงที่เรียนปริญญาโทเป็นช่วงที่เราทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย การหางานพาร์ทไทม์ที่เกาหลีสำหรับชาวต่างชาติก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากคนเกาหลีจะจ้างคนต่างชาติก็ต่อเมื่องานนั้นเป็นงานที่ต้องใช้ภาษาอื่น ส่วนใหญ่ที่เราเจอก็จะเป็นงานที่ต้องใช้ภาษาเกาหลีและภาษาไทยควบคู่กันไป
โดยงานที่ใช้ภาษาไทยส่วนใหญ่ก็จะเป็นงาน Call Center งานพัฒนาแอปพลิเคชัน งานติดต่อลูกค้า งานล่าม และอื่นๆ งานเหล่านี้คนเกาหลีเองก็ไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เนื่องจากไม่ได้ใช้ภาษาเกาหลีเป็นหลักขนาดนั้น
อย่างตอนนั้นเราก็ได้ทำงานพาร์ทไทม์ ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการอ่านคำอัตโนมัติ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คล้ายๆ กับ Google translate ที่กดสัญลักษณ์ลำโพงแล้วจะมีเสียงออกมา งานพาร์ทไทม์ที่เราทำก็เป็นแอปพลิเคชันคล้ายๆ แบบที่กล่าวมา โดยเรามีหน้าที่เช็กภาษาไทยที่ใช้ในแอปพลิเคชันนั้นว่าภาษาถูกต้องและเป็นธรรมชาติหรือไม่ อีกทั้งยังมีหน้าที่เป็น Translator ด้วย
เกาหลีมีดีอย่างไรทำไมใครหลายคนถึงชอบ?
การใช้ชีวิตที่ประเทศเกาหลีแตกต่างจากไทยมาก เพราะเขาออกแบบเมืองและสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนได้อยู่อาศัย ดังนั้นการเดินทางหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็จะมีเยอะมาก
นอกจากนี้เรื่องสภาพอากาศก็แตกต่างเช่นกัน ถ้าเป็นประเทศไทยก็จะรู้สึกร้อนตลอดปี แต่ประเทศเกาหลีจะร้อน 3 เดือน นอกนั้นก็ค่อนไปทางหนาว ก็จะทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพอากาศเท่าไหร่ อีกทั้งยังทำให้นิสัยเราเปลี่ยนเป็นคนที่ชอบทำอะไรเร็วขึ้นด้วย
นอกจากนี้สำหรับใครที่เป็นติ่งเกาหลี ก็จะสามารถติดตามศิลปินที่ชื่นชอบได้ง่ายขึ้น เนื่องจากตอนอยู่ประเทศไทยเราทำได้แค่รอจนกว่าศิลปินจะมาจัดคอนเสิร์ตในประเทศเรา
แต่ทุกที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน สิ่งหนึ่งที่เราไม่ชอบที่ประเทศเกาหลีคือ ถึงแม้เราจะชอบที่คนเกาหลีเป็นคนรวดเร็ว จนทำให้เรากลายเป็นคนรวดเร็วไปด้วย แต่การที่ทุกอย่างมันเร็วตลอดเวลาก็ทำให้เรารู้สึกเหนื่อย เพราะทุกอย่างมันดูเร่งรีบไปหมดจนเรารู้สึกว่าไม่เคยได้พักหายใจ อีกทั้งคนเกาหลีก็ยังไม่ได้เป็นมิตรกับชาวต่างชาติขนาดนั้น เพราะช่วงโควิดระบาดแรกๆ ร้านอาหารบางร้านก็จะแปะป้ายไว้ข้างหน้าเลยว่า ห้ามชาวต่างชาติเข้า
เส้นทางชีวิตการทำงานที่เกาหลีหลังเรียนจบสวยหรูหรือไม่?
หลังจากเรียนจบปริญญาโทแล้วเราก็ได้ทำงานบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีเป็นบริษัทเว็บตูน ในตอนนี้ก็วางแผนชีวิตไว้แค่ว่าจะทำงานและเก็บประสบการณ์ต่อไปเรื่อยๆ เพราะถ้าถามว่าอยากกลับไปใช้ชีวิตที่ไทยไหม ก็ยังรู้สึกว่ายังสนุกกับการทำงานที่ประเทศเกาหลีอยู่ คงยังไม่มีแผนจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ไทยเร็วๆ นี้
เมื่อย้อนกลับไปถึงภาษาเกาหลีที่เรียนมาก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำงานจริงอย่างที่ตั้งเป้าไว้ เพราะการทำงานในบริษัทเกาหลี แน่นอนว่าต้องใช้ภาษาเกาหลีเป็นหลัก เนื่องจากต้องคุยงานและติดต่อประสานงานกับคนเกาหลี อีกทั้งด้วยตัวเนื้องานที่ทำเองทุกอย่างก็เป็นภาษาเกาหลีหมดด้วย ซึ่งก็เหมือนเราเอาทุกอย่างที่เรียนมาใช้ไปกับการทำงานจริงๆ แล้วเราก็ยังได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกวันผ่านการทำงานด้วย
เพราะงานที่เราทำคือ Project Manager มีหน้าที่ดูแลคอนเทนต์ในเรื่องเกี่ยวกับการแปล รวมถึงเนื้อหาเว็บตูนว่าจะทำอย่างไรให้คนอ่านสามารถเข้าใจเว็บตูนเกาหลีได้ โดยที่เนื้อหาไม่เกาหลีจ๋า และไทยจัดจนเกินไป ซึ่งจะต้องทำให้คนอ่านรู้สึกสนุก อ่านง่าย และอ่านสบาย
วัฒนธรรมการทำงานในเกาหลี
สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยและประเทศเกาหลีมีเหมือนกันคือ ระดับภาษา โดยภาษาเกาหลีจะมี 2 ระดับเหมือนกับไทย ดังนั้นเราก็ต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกาลเทศะด้วย ทำให้เราไม่สามารถคุยเล่นกับทุกคนในบริษัทได้ นอกจากนี้เรายังต้องทำงานให้ตรงเวลา เนื่องจากหัวหน้าจะไม่ค่อยประนีประนอมกับเราเท่าไหร่
หากพูดถึงสภาพแวดล้อมการทำงานที่เราทำอยู่ในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างดี เพราะเราสามารถเข้ากับคนในทีมทั้งคนไทยและคนเกาหลีได้ หากเทียบกับประเทศไทยในเรื่องนี้ก็คงไม่สามารถเทียบได้ เพราะเราไม่เคยทำงานมาก่อน เพราะถึงแม้จะเคยฝึกงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ตอนนั้นเป็นเหมือนการเรียนรู้งานมากกว่า
ซึ่งการฝึกงานทำให้รู้สึกว่าเรามีความรับผิดชอบในงานนั้นๆ แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่พอทำงานจริงๆ ความรับผิดชอบทั้งหมดมันตกอยู่ที่เรา ซึ่งเราต้องตัดสินใจอะไรเองในหลายๆ เรื่อง ก็จะค่อนข้างเครียดเพราะไม่รู้ว่าเราตัดสินใจถูกหรือไม่
เมื่อเทียบระหว่างการฝึกงานที่ประเทศไทยกับการทำงานที่ประเทศเกาหลีก็คือ ตอนฝึกงานพี่ในทีมก็จะค่อยๆ สอน แต่พอทำงานจริงในประเทศเกาหลีเจ้านายก็จะดุๆ หน่อย
ฝากถึงน้องๆ ที่มีความฝันอยากได้ทุนไปเรียนเกาหลี
สำหรับใครที่เรียนภาษาเกาหลีอยู่ ก็อยากให้เรียนต่อไปเรื่อยๆ เพราะภาษาเกาหลีจะยิ่งเพิ่มระดับความยากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราต้องรู้เป้าหมายของตัวเองว่าเราอยากเรียนไปเพื่ออะไร อย่างเรามีเป้าหมายการเรียนว่าอยากนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงอยากนำไปใช้ทำมาหากิน
หลังจากนั้นเราก็ต้องวางแผนว่าจะทำให้เป้าหมายนี้ให้เป็นจริงได้อย่างไร เราต้องหาเส้นทางของตัวเองให้ชัดว่าการเรียนปริญญาโทหรือการเรียนภาษาที่ประเทศเกาหลีมันตอบโจทย์เป้าหมายของเราจริงๆ หรือไม่ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนที่อยากมาเรียนที่เกาหลีในอนาคต
เรียกได้ว่าคุณกิตินัทธ์เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในประเทศเกาหลีตั้งแต่การได้ทุนไปเรียนภาษาต่อ การได้ทุนเรียนปริญญาโท การทำงานพาร์ทไทม์ และการทำงานฟูลไทม์แบบครบจบในคนเดียวเลยจริงๆ และสำหรับใครที่มีความฝันอยากไปเรียนต่อที่ประเทศเกาหลี ก็ควรรู้เป้าหมายของตัวเองให้แน่ชัด และเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ให้เต็มที่ แล้ววันหนึ่งเราก็จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างที่ตั้งใจไว้เหมือนอย่างคุณกิตินัทธ์ได้นั่นเอง