Sae Hyung-Jung ผู้ประกอบการต่อเนื่อง (Serial Entrepreneur) ชาวเกาหลีใต้อายุ 30 ปี ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร oVice แพลตฟอร์มออฟฟิศเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์การทำงานจากพื้นที่ห่างไกล (Remote Work) ก่อนที่จะประสบความสำเร็จนั้น เส้นทางการธุรกิจ Startup ของเขาก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่ใครหลายคนคิด ธุรกิจก่อนหน้านี้ของเขาเคยล้มเหลวถึง 2 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม Sae Hyung-Jung ก็ได้เรียนรู้จากความล้มเหลว จนสุดท้ายธุรกิจ Startup ใหม่ของเขาก็ประสบความสำเร็จในที่สุด วันนี้เราจะมาถอดบทเรียนของ Sae Hyung-Jung จากความล้มเหลวสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในธุรกิจ Startup กัน
ความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ
เมื่อตอนอายุ 20 ปี เขาได้ก่อตั้งบริษัท AI เพื่อช่วยนักเรียนพัฒนาคะแนนเพื่อการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากตลาดและกลุ่มเป้าหมาย ณ ตอนนั้นมีน้อยมาก นักลงทุนหลายคนบอกเขาว่า เขาจำเป็นต้องขยายตลาดให้กว้างขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม Sae Hyung-Jung ได้ปฏิเสธและตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตนเอง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เขาจึงต้องขายบริษัทเพื่อชดใช้หนี้สินและเริ่มต้นใหม่กับธุรกิจต่อไป หลังจากรู้ว่าการทำธุรกิจ ณ ตอนนั้นสำหรับเขายังไม่มีความยั่งยืน เขาจึงตัดสินใจศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น
เมื่อมองย้อนกลับไป เขาจึงตระหนักว่าการปรับตัวและความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นผู้ประกอบการและการทำธุรกิจ Startup ดังนั้น หากเรามีความยืดหยุ่น เราก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น ถ้าทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จ จงอย่ากลัวที่จะลงมือทำสิ่งใหม่
พลิกมุมมอง เปลี่ยนปัญหาสู่ไอเดียที่สร้างสรรค์
ในช่วงปี 2020 Sae Hyung-Jung ทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้าน AI และ Blockchain ซึ่งในขณะนั้นโรคระบาดก็ได้แพร่กระจายทั่วโลก ซึ่งทำให้เขาต้องทำงานแบบ Work From Home ผ่าน Zoom และ Slack ด้วยความไม่เคยชินกับการทำงานทางไกลที่ไม่สามารถทำงานหรือสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร Sae Hyung-Jung จึงเกิดไอเดียและสร้าง oVice แพลตฟอร์ม Virtual Office หรือออฟฟิศเสมือนจริงที่ผู้ใช้สามารถสร้างอวาตาร์ของตัวเองและใช้สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้ พร้อมลูกเล่นอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้การทำงานทางไกลเปรียบเสมือนกับการทำงานในออฟฟิศจริง ๆ
oVice ประสบความสำเร็จอย่างมาก ปัจจุบันแพลตฟอร์มดังกล่าวยังมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากยังคงมีโรคระบาดอยู่ Sae Hyung-Jung รู้สึกพึงพอใจกับไอเดียและความพยายามของตัวเองที่เปลี่ยนจากวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะในทุกปัญหามักมีทางออกเสมอ เราเพียงต้องลองเปลี่ยนมุมมองและเรียนรู้วิธีการก้าวข้ามมันไปให้ได้อย่างสร้างสรรค์
ปรับตัวสู่ New Normal
ในช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีมาตรการปลดล็อก และพนักงานเริ่มกลับไปทำงานที่ออฟฟิศของบริษัท การทำงานรูป Hybrid ที่ผสมผสานระหว่างการทำงานที่บ้านกับการทำงานที่ออฟฟิศก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ “New Normal” หรือวิถีชีวิตแบบปกติใหม่
Sae Hyung-Jung เล่าว่าพนักงานหลายคนชอบทำงานที่ออฟฟิศ แต่ถ้าบริษัทนั้น ๆ ให้ทำงานที่ออฟฟิศ 100% ก็มีแนวโน้มว่าพนักงานจะลาออกมากขึ้น การที่พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศได้นั้นไม่ได้แปลว่าการทำงานผ่านช่องทางออนไลน์จะหายไป ดังนั้น การปรับตัวให้เข้ากลับ New Normal จึงเป็นสิ่งสำหรับที่ทุกคนและทุกองค์กร Startup ควรทำเพื่อให้ธุรกิจของตนเข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน oVice มีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น บริษัทมีรายได้ต่อปีถึง 6 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 228 ล้านบาท
Sae Hyung-Jung กล่าวว่าการประสบกับความล้มเหลวถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะความล้มเหลวสอนบทเรียนที่สำคัญให้แก่เขา หลังจากความล้มเหลวมาถึง 2 ครั้ง เขามีประสบการณ์มากขึ้นและทำให้การทำธุรกิจกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา หวังว่าทุกคนจะได้บทเรียนจาก Sae Hyung-Jung และนำไปปรับใช้กับธุรกิจ Startup หรือการใช้ชีวิตของตัวเองกันนะ
เขียนโดย Chonlasit Tadapairot
อ้างอิง CNBC