เปิดประวัติ โอสถสภา องค์กรที่อยู่เคียงคู่กับคนไทยมานานกว่า 130 ปี กับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุค Digital Transformation อย่างยั่งยืน | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
เปิดประวัติ โอสถสภา องค์กรที่อยู่เคียงคู่กับคนไทยมานานกว่า 130 ปี กับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุค Digital Transformation อย่างยั่งยืน
By Connext Team สิงหาคม 4, 2021
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

‘โอสถสภา’ นับว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและแข็งแกร่งมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ผู้คนมากมายย่อมรู้จักและคุ้นเคยกับชื่อขององค์กรแห่งนี้มาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ด้วยภาพลักษณ์ขององค์กรที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้หลายคนไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว โอสถสภา มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปี 

แล้วอะไร ? คือ เคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้โอสถสภา สามารถก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงนับครั้งไม่ถ้วนได้อย่างมั่นคง พร้อมกับแนวทางการขับเคลื่อนเข้าสู่ยุค ‘Digital Transformation’ ที่ทำให้องค์กรทันสมัยอยู่ตลอดเวลาและก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

จากร้านขายยาเล็ก ๆ ย่านสำเพ็ง สู่องค์กรใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของไทย

จุดเริ่มต้นของโอสถสภา มีที่มาจากร้านขายของเบ็ดเตล็ดย่านสำเพ็งที่มีชื่อว่า ‘เต๊กเฮงหยู’ ซึ่งก่อตั้งโดย นายแป๊ะ โอสถานุเคราะห์ ในปี พ.ศ. 2434 โดยสินค้าที่เป็นที่เลื่องลือของผู้คนในสมัยนั้น ได้แก่ ยากฤษณากลั่น ที่มีชื่อเสียงด้านการรักษาและบรรเทาอาการปวดท้องต่าง ๆ จนกระทั่งถูกทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เพื่อใช้ในการซ้อมรบของกิจการเสือป่าที่จังหวัดนครปฐม

จากความนิยมและชื่อเสียงของยากฤษณากลั่นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กิจการร้านขายของเบ็ดเตล็ดเริ่มขยับขยายและย้ายไปยังถนนเจริญกรุง เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โอสถสถานเต๊กเฮงหยู’ ที่ผลิตยาสามัญประจำบ้านอีกหลายชนิดที่เราคุ้นเคยกันจนถึงทุกวันนี้ เช่น ยาอมโบตัน และยาทัมใจ เป็นต้น

หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2492 ด้วยธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงนำไปสู่การขยายฐานการผลิต ด้วยการจัดตั้งโรงงานฝ่ายผลิตย่านซอยหลังสวน โดยติดตั้งเครื่องจักรที่ทันสมัยเพื่อรองรับการผลิตที่เติบโต และยังเป็นปีที่ได้จดทะเบียนบริษัท และเปลี่ยนชื่อเป็น ‘บริษัท โอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) จำกัด’ นับเป็นการก้าวเข้าสู่วงการในฐานะองค์กรอย่างเต็มตัว

แม้ว่ายาสามัญประจำบ้านหลายชนิด จะเป็นที่นิยมและครองตลาดไทยในยุคนั้นอย่างมาก แต่โอสถสภาก็ยังคงมุ่นมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ท้องตลาดอยู่เสมอ อาทิเช่น 

‘ลิโพ’ เครื่องดื่มบำรุงกำลังรายแรกของประเทศไทย ที่ถือกำเนิดขึ้นจากความร่วมมือของบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2508 และ ‘M-150’ เครื่อมดื่มบำรุงกำลัง ที่ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของตลาดในประเทศไทย นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2528 จวบจนปัจจุบัน

หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2538 บริษัท โอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) จำกัด ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘บริษัท โอสถสภา จำกัด’ พร้อมกับความสำเร็จในการขยายฐานตลาดไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่าเดิม ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์โอสถสภาในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี 

จนกระทั่งท้ายที่สุด ในปี พ.ศ. 2561 จากการปรับตัวขององค์กรที่มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน บริษัท โอสถสภา จำกัด ได้จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แปรสภาพเป็น ‘บริษัท โอสถสภา จำกัด(มหาชน)’ และได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน 

‘Corporate Cultural Evolution’ ในฐานะกุญแจสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนองค์กรในยุค ‘Digital Transformation’

สิ่งหนึ่งที่ทำให้โอสถสภา แตกต่างจากองค์กรใหญ่อื่น ๆ ที่อยู่มานานและมักจะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา คือ ความสามารถในการปรับตัวขององค์กรให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในยุค ‘Digital Transformation’ ที่ทุกอย่างกำลังจะถูกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเช่นนี้

เพื่อเป็นการปรับเกมให้ทันต่อความรวดเร็วในยุคดิจิทัล โอสถสภา ได้มีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ ให้บุคลากรที่เป็นฟันเฟืองหลัก สามารถก้าวข้ามแบบทดสอบครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้ ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่นำมาใช้ คือ แนวคิดการทำงานแบบ Agile 

แนวคิดการทำงานแบบ Agile เป็นรูปแบบการทำงานที่เน้นความคล่องตัว เพื่อให้สามารถทำธุรกิจได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยี ทั้งนี้การทำงานในรูปแบบ Agile ไม่ได้ช่วยแค่ในเรื่องความคล่องตัวในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของงาน สินค้าและบริการ และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ดีกว่า

เมื่อโอสถสภานำแนวคิดการทำงานแบบ Agile มาปรับใช้กับการทำงานภายในองค์กร ทำให้วัฒนธรรมการทำงานมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นองค์กรที่มีการบูรณาการสูง เกิดการร่วมมือกันระหว่างพนักงานและองค์กร จนพัฒนามาเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังช่วยให้พนักงานทั้งองค์กรขับเคลื่อนไปด้วยเป้าหมายเดียวกันได้ดีอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวัฒนธรรมองค์กรจะเป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับกลยุทธ์ Digital Transformation แล้ว ความท้าทายอีกประการขององค์กรที่อยู่มาอย่างยาวนาน คือ จะทำอย่างไร? ให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตได้ โดยไม่เกิดปัญหาทางด้านความแตกต่างของเจเนอเรชั่น เพราะ ถ้าหากคนรุ่นใหม่ไม่สามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทภายในองค์กรได้ วัฒนธรรมองค์กรที่ปรับเปลี่ยนไปก็อาจไม่ช่วยนำพาองค์กรก้าวไปสู่เส้นทางใหม่ได้จริง

พบกับคุณปาจรีย์ แสงคำ Head of Digitization จากโอสถสภา ที่จะมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดในการปรับตัวขององค์กรต่อการเปลี่ยนแปลง ‘Digital Transformation’ ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่อนาคตอย่างแท้จริง รวมไปถึงทักษะสำคัญที่คนรุ่นใหม่ต้องมีและองค์กรต่างมองหา เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งบุคลากรและองค์กรจะสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างยั่งยืน

ห้ามพลาด! ร่วมหาคำตอบไปกับ คุณปาจรีย์ แสงคำ ได้ที่งาน ‘ConNEXT Virtual Job Fair and Career Talk 2021’ powered by Techsauce วันที่ 7-8 สิงหาคม 2564 นี้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี ได้ที่  https://bit.ly/3khigG0

บทความนี้เป็น Advertorial

No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/talent-insights/osodspa-the-big-company-that-has-adapted-itself-for-130-years-and-how-it-survive-in-digital-transformation-era