เปิดเส้นทางชีวิตของ Walt Disney กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
เปิดเส้นทางชีวิตของ Walt Disney กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
By Connext Team กรกฎาคม 2, 2021
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ‘Disney+ Hotstar’ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้!

จากกระแสการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Disney+ Hotstar ที่สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วทุกหนแห่ง ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การ์ตูนและภาพยนตร์ของดิสนีย์ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน จนกระทั่งสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของคุณผู้ชมทุกเพศทุกวัยได้มากขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม เส้นทางกว่าที่ดิสนีย์จะประสบความสำเร็จอยากที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่ฝ่าฟันอุปสรรคและวิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วน 

เพราะฉะนั้น วันนี้ Connext จึงอยากจะพาคุณผู้อ่านทุกท่าน ย้อนรอยไปดูเส้นทางชีวิตของ Walt Disney ว่ากว่าที่ผลงานของเขาจะเข้าไปอยู่ในใจของทุกคนได้ขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย และอยากจะให้เรื่องราวที่เขาต้องพบเจอ เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนสู้ชีวิตต่อไปในวันหน้าไปด้วยกัน

ผมไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย

วอลต์เกิดที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา เป็นลูกคนที่สี่จากทั้งหมดห้าคน ครอบครัวของเขายากจน ทำให้พี่ชายสองคนหนีไปเมื่อวอลต์อายุเพียง 4 ขวบ วอลต์ชื่นชอบการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ 10 ขวบ วอลต์และน้องชาย (Roy Disney) ได้ทำงานพิเศษส่งหนังสือพิมพ์ในเมือง เขาต้องตื่นนอนเวลาตี 4 ครึ่งและส่งหนังสือพิมพ์ก่อนไปโรงเรียน และหลังเลิกเรียนก็ยังต้องมาส่งหนังสือพิมพ์รอบเย็น วอลต์จึงง่วงนอนเวลาเรียนเป็นประจำและได้คะแนนสอบไม่ดีในหลายวิชา เขาทำงานนี้กว่า 6 ปี

ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนบ้าน อาจไม่มี Frozen, Pinocchio หรือแม้กระทั่ง Lion King

ตอนเด็ก เพื่อนบ้านคนหนึ่งจ้างวอลต์ให้วาดรูปม้า เขายังมีเพื่อนชายคนหนึ่งชื่อวอลเตอร์ ไฟเฟอร์ ครอบครัวของวอลเตอร์เคยอยู่ในวงการเพลงและละครเวทีมาก่อนและได้แนะนำวอลต์ให้รู้จักโลกของภาพยนตร์

ปลอมแปลงวันเกิดเนื่องจากอยากเข้ารับราชการทหาร

วอลต์มีจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี สหรัฐฯเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 วอลต์อยากเข้าร่วมกองทัพเรือสหรัฐฯมากแต่ถูกปฏิเสธ เขาพยายามเข้าร่วมกองทัพแคนาดาแต่ก็ไม่สำเร็จ ท้ายที่สุด วอลต์ได้มาเป็นคนขับรถให้สภากาชาดอเมริกันแทน ซึ่งในช่วงเวลาฝึกอบรมนั่นเองเขาได้พบกับเรย์ คร็อก ผู้ก่อตั้งแมคโดนัลด์ในเวลาต่อมา

บริษัทแรกเจ๊งไม่เป็นท่า

หลังสงคราม วอลต์สมัครงานในบริษัทด้านโฆษณาสิ่งพิมพ์แห่งหนึ่ง แต่หลังจากทำงานได้เพียงสามเดือน เขาและเพื่อนร่วมงานถูกปลดออกเนื่องจากบริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงิน หลังจากลองผิดลองถูกด้วยตนเอง วอลต์และเพื่อน (Ub Iwerks) เปิดสตูดิโอขึ้นชื่อว่า Laugh-O-Gram 

แม้ว่าการ์ตูนของ Laugh-O-Gram ได้รับความนิยมพอตัวในเขตแคนซัสซิตี้ แต่ในที่สุดบริษัทก็ล้มละลาย หลังจากนั้นเขาจึงย้ายไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย วอลต์คิดจะทิ้งงานทางด้านแอนิเมชันและตั้งใจหันมาเป็นผู้กำกับ แต่เมื่อไม่มีบริษัทไหนรับเขาเข้าทำงาน เขาจึงหันกลับมาสร้างแอนิเมชันต่อ

กว่าจะมาเป็น Mickey Mouse

ในที่สุดวอลต์และน้องชายได้ตั้ง Disney Brothers Studio‍ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น The Walt Disney Studios ทั้งคู่ได้สร้างการ์ตูนเรื่อง Oswald the Lucky Rabbit การ์ตูนนี้ได้ถูกนำมาฉายโดย Universal Pictures และได้รับความนิยมอย่างมาก 

แต่ในเวลาต่อมา วอลต์สูญเสียสิทธิ์ในตัวละคร เนื่องจาก Universal Pictures หยุดให้ทุนการสร้างโดยนำตัวละครกระต่าย Oswald ของเขาไปให้บริษัทอื่นผลิตแทน ขณะกำลังนั่งหมดหวังอยู่ในโบกี้รถไฟ กลัวว่าสตูดิโอของตนจะต้องปิดลงในเร็ววัน ขณะนั้นเอง วอลต์เกิดไอเดียนึกภาพหนูขึ้นมาได้และตั้งชื่อมันว่า มอร์ติเมอร์ (Mortimor) แต่ภรรยาของเขาแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็น มิกกี้ (Mickey) เพื่อให้ชื่อฟังดูซอฟต์ลง

จำนองบ้านเพื่อสร้างภาพยนตร์มหากาพย์เรื่องแรก

ในช่วงแรกสตูดิโอสร้างเพียงการ์ตูนสั้น แต่วอลต์เองได้เริ่มคิดสร้างหนังแอนิเมชันแบบเต็มเรื่องขึ้น แม้น้องชายและหุ้นส่วนธุรกิจจะค้านความคิดนี้ก็ตาม ฮอลลีวูดเรียกมันว่า "ความเขลาของดิสนีย์" ค่าใช้จ่ายเข้าใกล้ 1.5 ล้านเหรียญ แต่เมื่อภาพยนตร์เรื่อง Snow White ปล่อยออกมา นิตยสาร Time ยกย่องว่าเป็น "ผลงานชิ้นเอกของแท้" และสร้างรายได้รวมถึง 8 ล้านเหรียญ (ซึ่งเท่ากับ 134 ล้านดอลลาร์ในตอนนี้)

หลังจากนั้นก็มีภาพยนตร์เรื่องอื่นตามมา ไม่ว่าจะเป็น Pinocchio, Dumbo, Bambi และ Fantasia

วอลต์เป็นผู้ที่มีชื่อเข้าชิงและชนะรางวัลออสการ์มากที่สุด เขาได้รับรางวัลออสการ์ถึง 22 รางวัล เช่นเรื่อง Three Little Pigs (1934), The Tortoise and the Hare (1935), Three Orphan Kittens (1936), The Ugly Duckling (1940) และเรื่อง Winnie the Pooh and the Blustery Day (1969) ซึ่งได้รางวัลหลังจากที่วอลต์เสียชีวิตแล้ว นอกจากนี้ผลงานของเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 59 ครั้ง

ตอนนี้ The Walt Disney Company เป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจภาพยนตร์สูงที่สุด เป็นเจ้าของภาพยนตร์และการ์ตูนชื่อดังหลายเรื่อง เช่น Toy Story, Alice in Wonderland, Iron Man, Thor, Captain America, Avengers

แม้วอลต์จะเจอปัญหาอุปสรรคนานาชนิด แต่ถ้าไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ ก็คงไม่มีมิกกี้ เมาส์ หรือตัวการ์ตูนอื่น ๆ ที่สร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมทุกเพศทุกวัย

ชีวิตของคนเราล้วนเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ร้ายบ้างดีบ้าง เพียงแค่เราอย่าเพิ่งหมดหวัง ล้มเลิกความตั้งใจในสิ่งที่เรารัก บางทีสักวันเราอาจประสบความสำเร็จเหมือนอย่างวอลต์ ดิสนีย์ ก็เป็นได้

อ้างอิง: Inc. The Disney Domain Disney Wiki

สำหรับผู้อ่านท่านใดที่สนใจบทความเกี่ยวกับชีวิตการทำงาน ทักษะที่จำเป็นในอนาคต สามารถลงทะเบียนเพื่อรับอัพเดทข้อมูลข่าวสาร และบทความในอนาคต จาก ConNEXT ได้ ที่นี่ https://bit.ly/3xKvJtn 

ติดต่อร่วมงานกับ ConNEXT ได้ที่อีเมล [email protected]

No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/talent-insights/the-history-of-walt-disney-before-he-has-been-successful-today