เมื่อชีวิตออกแบบเองได้ ระหว่าง “มนุษย์เงินเดือน VS นายตัวเอง” จะเลือกอะไรดี? | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
เมื่อชีวิตออกแบบเองได้ ระหว่าง “มนุษย์เงินเดือน VS นายตัวเอง” จะเลือกอะไรดี?
By Connext Team สิงหาคม 1, 2023
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

ในโลกที่เราสามารถออกแบบ Career path ตัวเองได้ ระหว่างการเป็น "มนุษย์เงินเดือน" และ “นายตัวเอง” เส้นทางไหนที่ใช่สำหรับเรามากกว่า? วันนี้ ConNEXT ได้สรุป Tech ConNEXT Talk ในหัวข้อ “เมื่อชีวิตออกแบบเองได้ ระหว่าง “มนุษย์เงินเดือน VS นายตัวเอง” จะเลือกอะไรดี?” นำโดย

คุณพีรเดช มุขยางกูร Co-Founder/CEO Cariber แพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงความรู้และประสบการณ์ จากผู้นำองค์กรและผู้เชี่ยวชาญในทุกแวดวง

คุณภาชรี ฑูรกฤษณา Head of Growth Skooldio องค์กร Education Technology (EdTech) หรือเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ผู้ให้บริการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับวัยทำงาน

ทำไมถึงเลือกเป็นมนุษย์เงินเดือนมากกว่าการเป็นนายตัวเอง

คุณภาชรี กล่าวว่า ตนเองเคยมีมุมมองว่าอยากเป็นเจ้าของกิจการเหมือนกัน แต่ด้วยสายงานที่เราทำให้เราเห็นว่าเวลาสตาร์ทอัพออกมาเปิดบริษัทของตัวเอง มันไม่ได้ง่ายแบบที่เราคิด ก็เลยรู้สึกว่าอยากเก็บประสบการณ์จากตรงนี้ให้ได้เยอะ ๆ ก่อนที่เราจะก้าวออกไปทำธุรกิจของตัวเอง

เพราะอะไรถึงเป็นนายตัวเองมากกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือน

ตามจริงส่วนตัวก็เริ่มมาจากการเป็นพนักงานประจำมาก่อน 2 ปี แล้วค่อยตัดสินใจออกมาเปิดกิจการของตัวเอง คิดว่าสาเหตุที่ออกมาจากงานประจำ เพราะมีความเชื่อลึก ๆ ว่าตัวเองชอบการเป็นนายตัวเองมากกว่า ถ้ามองย้อนกลับไปจะมีความชื่นชอบในเรื่องของการซื้อ-ขายมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว วันที่ตัดสินใจลาออกจากงานและเลือกที่จะให้เวลาตัวเอง 1 ปี ในการทำว่าเราชอบสิ่งนี้จริงหรือเปล่า เป็นสิ่งที่เราทำได้ดีจริงไหม เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเราชอบ แต่เราทำได้ไม่ดี มองว่าก็อย่าฝืนตัวเองดีกว่า เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าต้องเริ่มจากความเชื่อของตัวเอง แล้วมาลองกับตัวเองว่าทำได้ไหม พอผ่านมาถึงจุดหนึ่งถ้าทำได้หรือไม่ได้เราค่อยหาโอกาสอื่น ๆ ถัดไป คุณพีรเดช กล่าว   

อะไรคืออุปสรรคที่มนุษย์เงินเดือนและเจ้าของกิจการต้องเจอ  

คุณภาชรี กล่าวว่า ปกติแล้วเวลาทำงานเราจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ตอนแรกเราอาจจะเป็นพนักงานทั่วไปที่ทำงานอย่างเดียวไม่มีหน้าที่ต้องดูแลใคร อุปสรรคของเราก็จะเป็นเรื่องการทำงานทั่วไป พอเริ่มขยับขึ้นมาเป็น Middle Manager เราจะอยู่กึ่งกลางระหว่างหัวหน้าและพนักงาน อุปสรรคที่เจอก็จะเป็นในเรื่องของการดูแลคน ถ้าหนักที่สุดของการเป็นพนักงานประจำคือเราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทได้ เช่น เวลาที่บริษัท Layoff พนักงาน เราจะไม่สามารถควบคุมได้เลย เพราะเราไม่ใช่เจ้าของกิจการ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จะเป็นความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นกับพนักงานประจำได้ทุกเมื่อ  

คุณพีรเดช บอกว่าอุปสรรคจริง ๆ ของการเป็นเจ้าของกิจการ คือ ตอนเริ่มต้น ก่อนหน้าที่ตัดสินใจลาออกจากงาน รู้สึกว่าอยากเป็นเจ้าของกิจการจริง ๆ ก็เลยเริ่มหาอะไรทำในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ได้ลองทำ 2-3 ธุรกิจ ปรากฎว่าไม่มีธุรกิจไหนที่เวิร์กเลย ก็เลยกลับมาถามตัวเองว่ามันไม่เวิร์กเพราะตัวเรายังทำได้ไม่ดี หรือไม่เวิร์กเพราะอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้กลับมาคือเหมือนเราได้เรียนรู้ผลลัพธ์จากสิ่งที่เกิดขึ้น ได้ยอมรับผลจากการทดลองทำสิ่งนั้น ฉะนั้นอย่างแรกเราต้องรู้จักตัวเองให้มาก ๆ รู้ด้วยว่าอะไรเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้ ซึ่งวันนี้อาจจะดูพูดง่ายเพราะว่าผ่านมา 3 ปีแล้ว แต่ต้องบอกว่าในช่วงที่เริ่มทำเราต้องเจอกับแรงกดดันเยอะมากในทุก ๆ วัน แต่มองว่าเราควรเปลี่ยนความกดดันให้มาเป็นแรงกระตุ้นให้กับตัวเองในจุดเริ่มต้นจะดีที่สุด 

สุดท้ายแล้วมองว่าเราต้องรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองนิสัยตัวเองเป็นอย่างไร เช่นเดียวกันต้องรู้ด้วยว่าตัวเองล้มได้มากแค่ไหน เพราะในวันที่ตัดสินใจลาออกมาจากงานประจำ ช่วงนั้นผมยังสามารถรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อยู่ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องรู้ลิมิตของตัวเอง รู้ว่าเรารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน และที่สำคัญความเสี่ยงนั้นต้องเป็นความเสี่ยงที่ต้องเซฟตัวเองด้วยเช่นกัน  

‘Passion’ กับ ‘เงินที่มั่นคง’ เราควรเลือกสิ่งไหนมากกว่า?  

คุณภาชรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละคนมากกว่า ถ้าเป็น First Jobber หรือน้อง ๆ ที่เพิ่งจบใหม่อยากสนับสนุนให้มองหาแพชชั่น อยากให้เลือกในสิ่งที่เราทำแล้วสนุก แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละคน เพราะพอเราเริ่มโต เราจะมีภาระมากขึ้น เรื่องการเงินหรือความมั่นคงก็เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเงื่อนไขแต่ละคนไม่เหมือนกัน อยากแนะนำว่าให้หาจุดสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ให้ได้ นอกจากเรื่องการเงินและแพชชั่น อยากให้เพิ่มในเรื่อง Skill หรือทักษะด้วย เพราะสุดท้ายอยากให้เราได้ทำงานกับองค์กรที่พร้อมเปิดโอกาสให้เราพัฒนา ได้เรียนรู้ และได้เก่งขึ้นจากการทำงานนั้นด้วย    

คุณพีรเดช กล่าวว่า เห็นหลายคนที่มีทั้งแพชชั่นและมีเงินที่ดี บางคนมีแพชชั่นแต่การเงินไม่ค่อยดี บางคนทำในสิ่งที่ไม่ชอบเลย แต่ได้เงินดีมากเลยรู้สึกว่าไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะสุดท้ายมันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งการมีแพชชั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ในมุมมองของผมที่ไม่ได้มีแพชชั่นก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่ว่าบางจังหวะถ้าเราเจอโอกาสหรือสิ่งที่เราอยากจะแก้ไข และเราเห็นสิ่งนั้นอยู่เราสามารถนำสิ่งนั้นมาตั้งเป็น Main Point ของเราได้ แล้วแพชชั่นจะเป็นสิ่งที่ตามมาเอง              

สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดในการเป็นมนุษย์เงินเดือนและนายตัวเอง คืออะไร?

คิดว่าความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของการเป็นพนักงานประจำ คือคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องมี Ownership ในการทำงานก็ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วการมี Ownership เป็นสิ่งสำคัญมากในการทำงาน พอบวกกับการมีวิสัยทัศน์และทัศนคติที่ดีก็จะยิ่งทำให้เราก้าวหน้าไปได้เร็ว และอาจจะได้ลองงานที่หลากหลายมากขึ้น มีโอกาสได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เรากลายเป็นพนักงานที่มีคุณค่าต่อบริษัทด้วย คุณภาชรี กล่าว 

คุณพีรเดช กล่าวว่า อย่างแรกอาจจะเป็นเรื่องของ Flexibility เพราะว่าเราเรียกตัวเองว่าเป็นนายตัวเอง ก็หมายถึงการเป็นเจ้าของกิจการ หรือ CEO เราสามารถกำหนดทุกอย่างได้เองเลยว่าเราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน แต่ในทางกลับกันเราก็ต้องพร้อมที่จะแก้ปัญญาที่จะเกิดขึ้นในธุรกิจด้วย มันไม่ใช่การการทำงานแค่เย็นวันศุกร์แล้วทุกอย่างจบ แต่การเป็นเจ้าของกิจการมันเหมือนต้องทำงานทุกวัน ต้องทำงานมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ

อย่างที่สอง มองว่าทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นเจ้าของกิจการ คือ ทักษะการขายของ หรือ Underrated Sales Skills การขายของในที่นี้ไม่ได้หมายถึงขายให้ลูกค้า แต่มันหมายถึงการขายของให้พนักงานคนแรก ๆ ที่ยอมมาทำงานกับเรา ในตอนที่เรายังไม่มีอะไรเลย คล้ายกับการที่เราให้หุ้นที่ไม่มีมูลค่าให้เขา แต่เราบอกว่าในอนาคตหุ้นนี้จะเป็นสิ่งที่โตขึ้นในอนาคต เราต้องขายสิ่งเหล่านี้ให้เป็นตั้งแต่พนักงานคนแรก ๆ รวมถึงนักลงทุน รู้สึกว่าทักษะนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในช่วงแรก การที่เราจะขยับขึ้นไปสู่เป้าหมายได้ เราจำเป็นต้องมีทักษะการขาย หรือการพูดที่จะให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อได้ด้วย 

ถ้าเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ต้องทำอย่างไร? 

คุณพีรเดช กล่าวว่า คิดว่าอย่างแรกเราต้องฝึก อย่างที่สองถ้าเรารู้ว่าตัวเองไม่เก่งให้หาคนที่เก่งเข้ามาช่วย แต่ถ้าเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ การรีบหาคนเข้ามาช่วยถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการที่เราจะหาคนที่เชื่อแบบเดียวกันกับเรามาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในช่วงแรกมีไม่กี่คนอยู่แล้วที่เชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ เพราะฉะนั้นถ้าเรายังอยู่ในจุดเริ่มต้น เราสามารถฝึกฝนทักษะนี้ได้ เพราะการเป็นเจ้าของธุรกิจบางอย่างไม่มีใครสามารถทำแทนเราได้ เว้นแต่เราเป็นบริษัทที่ใหญ่แล้ว มี Co-founder ที่เก่งด้านธุรกิจ เก่งด้านการขาย แต่สมมติถ้าเราอยากจ้างพนักงานคนหนึ่ง แล้วอยากให้เขามาทำงานแทนเรา ยังมองว่าเป็นเรื่องที่ยากอยู่ เพราะความสนใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สุดท้ายการจะทำให้ใครสักคนมีความเชื่อเหมือนเราและมาทำงานกับเรา แปลว่าเรามีความเสี่ยงไม่ต่างจากเขาที่ต้องมาทำงานกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเราเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ถ้าเรามีความเชื่อในธุรกิจของเรามาก ๆ เราจะสามารถเล่าให้คนอื่นเชื่ออย่างที่เราเชื่อได้        

ถ้าเริ่มเบื่อกับการเป็นนายตัวเองแล้ว มีวิธีจัดการความรู้สึกนี้อย่างไร? 

คุณพีรเดช กล่าวว่า ในธุรกิจที่เราทำอยู่มีโอกาสเติบโตในทางใหม่ ๆ ได้ ถ้าวันไหนที่เราเบื่อ อยากให้เราลองทำโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่สามารถต่อยอดจากสิ่งที่เราทำอยู่ ซึ่งในขั้นของการเป็นเจ้าของธุรกิจมันมีหลายขั้นตอนมาก ๆ สุดท้ายการทำสินค้าเดิม แต่ตัวงานในแต่ละวันก็จะแตกต่างกันออกไปอยู่ดี ตรงนี้น่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่น่าจะช่วยลดความเบื่อตรงนั้นได้ 

การศึกษาในระบบอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่ สำหรับคนทำงานในยุคนี้? 

คุณภาชรี กล่าวว่า สิ่งที่เห็นชัดมากในปัจจุบัน คือ ตำแหน่งงานหรือทักษะต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเพราะฉะนั้นหลักสูตรที่อยู่ในระบบการศึกษายังปรับตัวไม่ทันแน่นอน เพราะกว่าหลักสูตรจะสามารถอนุมัติได้ใช้เวลาค่อนข้างนาน บางทีอนุมัติเสร็จเรียบร้อย ตำแหน่งงานหรือทักษะต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งในหลักสูตรที่เราเรียนแน่นอนว่ามีพื้นฐานและทักษะต่าง ๆ ในการทำงาน แต่พอเข้ามาสู่โลกการทำงานจริง ยังมีทักษะ อื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีกเยอะมากที่เราต้องเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ยิ่งทุกวันนี้มีช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่พึ่งเรียนจบกับคนที่ทำงานแล้วกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเมื่อก่อนเราจบ Marketing มา บางทีเรารู้แค่พื้นฐานเราก็อยู่ได้ แต่ ณ ตอนนี้โลกหมุนไปเร็วมาก เราจึงต้องเรียนรู้ ต้องทำมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า เช่นการเรียนรู้เรื่อง Performance Marketing การเข้าใจวิธีการใช้ Data หรือ การใช้ AI เข้ามาช่วยในการทำการตลาดมากขึ้น

คุณพีรเดช กล่าวว่า ไม่พอแน่นอน ถึงแม้ว่าระบบการศึกษาอยากจะปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีก็ตาม เราต้องยอมรับก่อนว่าเทคโนโลยีทุกวันนี้ไปเร็วมาก ๆ ไม่ใช่ว่าวันนี้มี Chat GPT แล้วเทอมหน้าเราจะเรียนเรื่องนี้ได้เลย ซึ่งการมีคอร์สออนไลน์เข้ามา มองว่าเหมือนเป็นตัวเร่งที่เปิดโอกาสกับผู้คนให้เรียนรู้ และลงมือทำเพื่อการสร้างประสบการณ์การทำงานของตัวเองมากขึ้น

คุณภาชรี เสริมว่า เทรนด์ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ คือการย้ายสายงาน อยากแนะนำเพิ่มเติมว่าสิ่งที่เราเลือกตอนอายุ 18 ปี ไม่ใช่สิ่งกำหนดทางที่เราจะเป็นไปตลอดชีวิต เราสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา หากเราต้องการมองหาสิ่งใหม่ หรือแพชชั่นใหม่ ๆ ที่เราต้องการ  

สร้างสมดุลชีวิตส่วนตัวกับการทำงานอย่างไรให้ Balance กัน? 

โดยส่วนตัวเราจะเรียกว่า Work Life Integration มากกว่า คือการผสมผสานเรื่องงานกับชีวิตให้สามารถ Co-exist กันได้ด้วยความรู้สึกที่พอดี เพราะเรามองว่า Work Life Balance ของแต่คนไม่เหมือนกัน บางคนอาจอยากหยุดทำงานทันทีที่เลิกงาน บางคนอาจชอบที่ได้คิดงานต่อ หรือเห็นอะไรก็นึกถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องหาจุดที่พอดีของเราให้ได้ ว่าเราอยู่ตรงไหนแล้วเรามีความสุข คุณภาชรี กล่าว

คุณพีรเดช กล่าวว่า เราต้องมีการจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน เพราะจะทำให้เราไม่ต้อง Suffer มาก แต่ถ้าในมุมของเจ้าของกิจการ คือเราเหมือนทุ่มชีวิตให้กับบริษัทของเราไปแล้วจนกลายเป็นจุดโฟกัสของเรา เพราะฉะนั้นการ Work Life Balance สำหรับการเป็นเจ้าของกิจการจึงกลายเป็นเรื่องยาก 

ในมุมมองของพนักงานประจำและเจ้าของกิจการ อยากบอกอะไรกับคนที่ยังหลงทางหรือยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรไหม?  

คุณภาชรี กล่าวว่า อยากให้ทุกคนลองประเมินตัวเองบ่อย ๆ เพราะว่าเวลาเราทำงานจริง เราจะทำงานไปเรื่อย ๆ ทำจนเป็นกิจวัตรประจำวัน จนบางทีเราอาจลืมกลับมาถามหรือประเมินตัวเองว่าเรายังมีความสุขกับการทำงานนี้อยู่หรือเปล่า? เรายังชอบการเป็นพนักงานอยู่หรือไม่? หรืออยากออกไปมีธุรกิจของตัวเองแล้ว? เพราะฉะนั้นอยากให้ลองประเมินตัวเองเป็นประจำ 

ในมุมมองของเจ้าของกิจการมองว่าหลัก ๆ เราต้องรู้จักตัวเอง ต้องลองลงมือทำ และไม่ว่าการตัดสินใจของเราคืออะไร เราต้องเคารพในการตัดสินใจของตัวเอง และสุดท้ายถ้าเราลองทำแล้วแต่ไม่สำเร็จเราก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าสิ่งนั้นอาจไม่เวิร์กสำหรับเรา คุณพีรเดช กล่าว 

สุดท้ายไม่ว่าเราจะเลือกเป็นเจ้านายตัวเองหรือมนุษย์เงินเดือนทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้จักตัวเองว่าเราชอบอะไร แน่นอนว่าการเลือกเส้นทางชีวิตของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขชีวิตและความชอบของแต่คนด้วย 

No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/talent-insights/what-should-i-select-between-salary-man-vs-yourself-when-i-may-construct-my-own-life