พาไปดูกรณีศึกษาจากการพัฒนาและการกำกับดูแล Fintech ของต่างประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า นอกเหนือจากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแล ยังควรรักษาระดับความยืดหยุ่นของกฎเกณฑ์ให้พอดี และสร้างปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิด Ecosystem ที่เหมาะสม เพื่อทำให้เกิดการพัฒนา Fintech อย่างต่อเนื่องต่อไป
ปรากฏการณ์ “ฟินเทค (Fintech)” เป็นที่กล่าวถึงกันมากตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ เนื่องจากหลายประเทศประกาศใช้ “กล่องทรายทดสอบธุรกรรม” หรือ “Regulatory Sandbox” ซึ่งเป็นแนวทางในการส่งเสริมฟินเทคพร้อม ๆ กันทั้งอังกฤษ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และไทย เป็นต้น
หากย้อนดูพัฒนาการฟินเทคในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พบว่าฟินเทคพัฒนาอย่างมาก และมีแนวโน้มพัฒนาต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 2010-2015 การลงทุนในธุรกิจฟินเทคของโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึงเกือบ 5 เท่า โดยเฉพาะในประเทศอเมริกาและจีน เราจึงต้องเตรียมรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจและนำมาซึ่งประโยชน์ มากมาย ขณะเดียวกันอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่อาจคาดไม่ถึงได้เช่นกัน
ฟินเทคถือเป็นรูปแบบธุรกิจการเงินใหม่ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้เกิดประโยชน์ทั้งผู้ใช้บริการทางการเงินและระบบการเงิน โดยเข้ามาช่วยในเรื่องของการเพิ่มการเข้าถึง การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นรูปแบบธุรกิจที่ยังไม่มีกฎเกณฑ์หรือการกำกับดูแลเพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่ตามมา
ทำให้ภาครัฐจึงสนับสนุนให้ธุรกิจฟินเทคเกิดขึ้นโดยเร็ว ด้วยการเปิดโครงการทดสอบนวัตกรรมสำหรับกลุ่มฟินเทค ใช้กฎเกณฑ์การกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น และเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกรรมนั้น ๆ เพื่อที่จะกำหนดกฎเกณฑ์การกำกับดูแล ฟินเทคที่เหมาะสมต่อไป
กฎเกณฑ์การกำกับดูแลเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของฟินเทค เมื่อมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลการให้บริการทางการเงิน ก็เหมือนเป็นการเปิดประตูให้ผู้ให้บริการฟินเทคได้มีโอกาสนำเสนอบริการได้อย่างถูกกฎหมายและเร็วขึ้น
แต่ในความเป็นจริงยังมีองค์ประกอบด้าน Ecosystem อื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาฟินเทค ที่ทำให้ผู้ให้บริการพร้อมที่จะก้าวผ่านประตูไป องค์ประกอบเหล่านี้คือ
กรณีศึกษาจากจีน มีองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ อุปสงค์หรือความต้องการใช้บริการทางการเงิน ประกอบด้วย
นอกจากนี้ จีนยังมีกลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talents) ทั้งผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งกฎเกณฑ์การกำกับดูแลฟินเทคที่ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้เกิดช่องโหว่ในการกำกับดูแลระหว่างสถาบันและการใช้แนวทางกำกับดูแลแบบ Benign Neglect นั่นคือภาครัฐมีมุมมองว่าตลาดจะจัดการปัญหาของมันเอง โดยรัฐยินดีที่จะรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากธุรกรรมเหล่านี้ จนกว่าธุรกรรมมีขนาดใหญ่และมีความเสี่ยงต่อทั้งระบบการเงินจึงจะเข้าไปดูแล ทำให้ Peer-to-Peer Lending เกิดได้และขยายตัว จนมีขนาดใหญ่เกือบถึง 5% ของสินเชื่อบุคคลทั้งระบบหรือ 1.1% ของ GDP รวมถึงมีการล้มละลายไปหลายแห่งและการฉ้อโกงหลายครั้ง ในปี 2016 ภาครัฐจีนจึงได้ออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแล
กรณีศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ถือว่าประสบความสำเร็จด้านฟินเทค เนื่องจากโดดเด่นด้านความพร้อมของเงินทุน และ Talents ทั้งปริมาณ ประสบการณ์ และการกระจุกตัวของผู้ให้ทุนและ Talents ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่ “Silicon Valley” ซึ่งเป็นเหล่งรวมของ นักลงทุนรูปแบบต่าง ๆ เช่น Venture Capitalist และ Angel Funds ที่มีประสบการณ์จากการลงทุนในกลุ่ม Tech Startup มายาวนาน และยังเป็นแหล่งรวมของกลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talents) ด้านเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ ไอที และ Startup
การกระจุกตัวนี้ทำให้การเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้รับเงินทุนและต่อยอดนวัตกรรมได้รวดเร็ว
ในด้าน Demand ตลาดสหรัฐนั้นแม้จะมีการเข้าถึงสถาบันการเงินอย่างทั่วถึง แต่ยังเป็นโอกาสเพราะขนาดตลาดใหญ่พอสาหรับ Talents ที่เข้าใจประสบการณ์ของผู้ใช้บริการทางการเงิน และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สนองความต้องการของผู้ใช้ได้ตรงจุดกว่าผลิตภัณฑ์รูปแบบเดิมได้ รวมทั้งกฎเกณฑ์และสถาบันกำกับดูแลสถาบันการเงินที่แตกต่างตามทั้งประเภทธุรกรรม สถาบันการเงินและระดับมลรัฐ (States) หรือรัฐบาลกลาง (Federal) เอื้อให้ธุรกรรมฟินเทคเกิดขึ้นมาได้
กรณีศึกษาจากอังกฤษ มีการใช้ Regulatory Sandbox ที่ยืดหยุ่น นอกเหนือจากความพร้อมด้านศักยภาพด้าน Demand ในการเข้าถึงตลาดสหภาพยุโรป (EU) เงินทุนและกลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talents) ที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีนโยบายรัฐอื่น ๆ เสริมด้วย คือ
ประเทศทั้ง 3 ข้างต้นมีองค์ประกอบครบจึงทำให้ทั้งจีนและอเมริกามีการลงทุนและขยายตัวของฟินเทคอย่างรวดเร็ว ส่วนอังกฤษก็มีผู้สมัครเข้าร่วม Sandbox ถึง 146 รายและผู้ผ่านเข้าทดสอบถึง 42 ราย
ในขณะที่ฟินเทคยังไม่เกิดมากนักในออสเตรเลียและสิงคโปร์ทั้ง ๆ ที่มี Regulatory Sandbox ที่ยืดหยุ่น และนโยบายอื่น ๆ เช่นเดียวกับของอังกฤษในข้างต้น แต่ยังไม่พบผู้เล่นใน Sandbox มากนักในทั้งสองประเทศ (ออสเตรเลียมี 0 ราย และสิงคโปร์มี 2 รายตามลำดับ และสถาบันการเงินในสิงคโปร์ที่สามารถทดสอบธุรกรรมฟินเทคได้เองมีการทดสอบธุรกรรมใหม่ ๆ อีกเพียงไม่กี่ธุรกรรม)
กรณีศึกษาจากออสเตรเลียใช้กฎเกณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่นเพียงพอ โดยยังจำกัดขอบเขตการทดสอบค่อนข้างมาก ทั้งจำนวนลูกค้า วงเงินต่อลูกค้า และวงเงินรวม สะท้อนให้เห็นว่าการใช้นโยบายการกำกับที่ยืดหยุ่นในการสนับสนุนฟินเทคนั้นเป็นความท้าทายสำหรับผู้กำกับดูแลในการชั่งน้ำหนักให้เหมาะสมระหว่างการยืดหยุ่นของกฎเกณฑ์และความเสี่ยงที่อาจเกิดจากฟินเทค
ส่วนกรณีศึกษาจากสิงคโปร์ที่ภาครัฐเป็นผู้นำด้านนโยบายเพื่อเร่งให้เกิดฟินเทค และผลักดันสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางฟินเทคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแง่ของจำนวนผู้เล่น-กิจกรรมด้านฟินเทคยังมีไม่มากนักและยังไม่สะท้อนเป็นรูปธรรม ส่วนหนึ่งมาจากความไม่พร้อมขององค์ประกอบหลายตัว
โดยในด้าน Demand ศักยภาพของตลาดรายย่อยในสิงคโปร์นั้นมีอย่างจำกัด เพราะจำนวนประชากรในสิงคโปร์มีเพียง 3-5 ล้านคน อีกทั้งกลุ่ม SMEs เป็นชนกลุ่มน้อยในภาคธุรกิจ อีกทั้งทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินจากธนาคารที่มีอยู่ทั่วถึงและแข่งขันสูงอยู่แล้ว โอกาสทางธุรกิจในกลุ่มรายย่อยจึงมีไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศใหญ่ ๆ
จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลระบบการเงินทั้งหมด ให้ความเห็นว่าปัจจัยแวดล้อมฟินเทคในสิงคโปร์นั้นมีความพร้อมด้านนโยบายนำหน้าความพร้อมในการสนับสนุนกลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talents) และเงินทุน
ซึ่งตอนนี้หน่วยงานภาครัฐในสิงคโปร์กำลังร่วมมือกับภาคการศึกษาเพื่อสร้างกลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talents) ซึ่งหมายถึง การสร้างผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ลูกค้าและด้านอื่น ๆ รวมทั้งพัฒนานโยบายเพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talents) จากต่างประเทศต่อไป
ด้วยความไม่พร้อมข้างต้นทำให้ความน่าสนใจของนักลงทุนด้านฟินเทคในสิงคโปร์จึงยังมีน้อย
ประสบการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า นอกเหนือจากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลยังควรรักษาระดับความยืดหยุ่นของกฎเกณฑ์ให้พอดี และการมีองค์ประกอบ Ecosystem อื่น ๆ ที่เหมาะสมจะทำให้เกิดการสร้างและพัฒนาฟินเทคอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี ในอนาคตข้างหน้าเรายังต้องประเมินความสำเร็จในการพัฒนาฟินเทคในประเทศไทยด้วย ซึ่งขณะนี้เพิ่งเริ่มเปิดโอกาสใช้ Regulatory Sandbox ได้เพียง 2 ปี (พ.ศ.2559 ถึง พ.ศ.2561) เท่านั้น ซึ่งการพัฒนายังต้องใช้เวลา
อีกทั้งตอนนี้ภาครัฐหลายประเทศสร้างกฎเกณฑ์ที่เอื้อเพื่อรองรับการพัฒนาฟินเทคล่วงหน้าไปก่อน ส่วนการพัฒนากลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talents) และเงินทุน ซึ่งเป็นปัจจัยที่มาจากภาคเอกชนเองเป็นส่วนใหญ่จะดำเนินการในลำดับถัดมา
ซึ่งหน่วยงานภาครัฐของไทยควรตระหนักถึงความจำเป็นและเร่งพัฒนาระบบ Ecosystem อื่น ๆ ด้วย เพื่อที่จะทำให้ฟินเทคเกิดขึ้นได้จริง รวดเร็ว และต่อเนื่อง
หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงและปรับปรุงมาจากบทวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจที่ชื่อว่า “เราเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์การพัฒนาและการกำกับดูแลฟินเทคของต่างประเทศ” เขียนโดยคุณศุกพิณรัศ วงศ์สินศิริกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อ 12 กันยายน 2560โดยได้ขออนุญาตทางเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งบทวิเคราะห์เป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทยแต่อย่างใด
ขอขอบคุณคุณศุกพิณรัศมาไว้ ณ โอกาสนี้ครับ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด