พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส! ใช้ ‘ความวิตกกังวล’ มาช่วยให้ทำงานดีขึ้น | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส! ใช้ ‘ความวิตกกังวล’ มาช่วยให้ทำงานดีขึ้น
By Connext Team มิถุนายน 27, 2022
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

ลีแอนนา ลี ต้องใช้ชีวิตกับภาวะวิตกกังวล (Anxiety) และภาวะซึมเศร้าเฉพาะเหตุการณ์ (Situational Depression) มานานกว่า 15 ปี อีกทั้งยังเผชิญกับโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) ซึ่งจะกระตุ้นให้ทุกอย่างแย่ลงตอนรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือกดดัน ส่งผลให้เธอมีอารมณ์แปรปรวนและมีอาการตื่นตระหนก นอกจากนี้ยังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเฉลี่ย 6-8 ครั้งต่อปี ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย สมองล้า หรือร้ายแรงที่สุดถึงขั้นอยากจบชีวิตตัวเอง 

หลังจากที่ทำงานมาหลายปีและได้เข้ารับการรักษา ลีแอนนา ลี ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วปัญหาสุขภาพจิตช่วยให้เธอทำงานได้ดีขึ้น แต่จะดีขึ้นในแง่ไหนบ้างนั้น เรามาติดตามไปพร้อมๆ กัน

ทำงาน

1. ทำให้ตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้น

อาการวิตกกังวลหรือตัวกระตุ้นโรค PTSD สามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ง่าย ดังนั้นการเฝ้าติดตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก วิธีหนึ่งที่ลีแอนนาใช้เพื่อตรวจหาสาเหตุของความเครียดคือ ‘การตรวจพิจารณาลำไส้’

โดยขั้นตอนการทำเริ่มจากนั่งเงียบๆ สักครู่หนึ่งแล้วดูว่าตัวเองรู้สึกอะไรอยู่ เช่น หวาดผวา คลื่นไส้ ไม่มีสมาธิ เศร้า โกรธ หรือเหนื่อย จากนั้นถามคำถามตัวเองแบบกว้างๆ เช่น “ไปได้ดีหรือเปล่า ความสัมพันธ์เป็นไงบ้าง ทานอาหารหรือพักผ่อนน้อยไปไหม?” ถ้ารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนหรือมีอาการเกร็งที่ท้อง นั่นคือคำตอบ

คำตอบที่ได้จากการตรวจพิจารณาลำไส้เป็นตัวบอกลีแอนนาว่า

  • ต้องเริ่มพักผ่อนและดูแลตัวเองได้แล้ว
  • ต้องหยุดทำสิ่งที่ทำอยู่และหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อให้สมองใจเย็นลงและสามารถโฟกัสเรื่องอื่นได้
  • กำลังจะมีปัญหาสุขภาพจิต ดังนั้นต้องจัดตารางงานใหม่และเลิกงานให้เร็วขึ้น

คำตอบอาจไม่ชัดเจนเสมอไป แต่การยอมรับว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเป็นวิธีคลายความวิตกกังวลที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะมันทำให้เธอสามารถกลับไปโฟกัสเรื่องงานได้

สำหรับเด็กจบใหม่ที่กำลังวิตกกังวลเพราะว่ายังหางานทำไม่ได้ พลาดไม่ได้กับงาน Tech ConNEXT Job Fair 2022 วันที่ 7-9 กรกฎาคมนี้ ณ True Digital Park ชั้น 6 และ 7 BTS ปุณณวิถี 

ลงทะเบียนเข้างานฟรีได้ที่ : https://www.eventpop.me/e/13032/techconnext-job-fair-2022

2. ช่วยให้รู้ว่าทำงานช่วงไหนดีที่สุด

ทุกคนมีนาฬิกาชีวิตแตกต่างกัน หรือที่เรียกว่านาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมร่างกายและจิตใจขณะที่เราตื่น กิน นอน ทำงาน แต่ความวิตกกังวลและความเครียดจะเป็นตัวคอยเล่นกลล่อลวงเรา โดยมันจะบอกให้เราเอาแต่นอน ไม่กินข้าวกินปลา จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาและมีกิจวัตรเปลี่ยนแปลงไป

สัญญาณที่ผสมกันมั่วเหล่านี้ทำให้ลีแอนนาอยากเรียนรู้ธรรมชาติของร่างกายตัวเองมากขึ้นว่า ‘เธอต้องการอะไรและทำงานได้อย่างเต็มที่ตอนไหน’

วิธีหนึ่งในการเรียนรู้ธรรมชาติร่างกายคือการดูว่าตัวเองมีนาฬิกาชีวิตแบบใด ซึ่งการรู้นาฬิกาชีวิตของตัวเองทำให้ลีแอนนาจัดการกับตารางได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะทำให้รู้ว่าช่วงเวลาไหนที่มีพลัง อารมณ์ไม่แปรปรวน และช่วงเวลาไหนเธออาจจะเหนื่อยและจดจ่อกับงานยากหากดื้อดึงจะทำโปรเจกต์หรือคุยงานต่อ

3. ทำให้จัดระเบียบตารางการทำงานได้ดีขึ้น

ความเครียดไม่ได้แย่เสมอไป มันเป็นเพียงการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราเท่านั้น แต่ปัญหาคือถ้าเราปล่อยให้ตัวเองมีความเครียดโดยไม่จัดการอะไรกับมัน อาจส่งผลเสียและนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตได้ สำหรับลีแอนนาแล้ว การมีปัญหาสุขภาพจิตเรื้อรังเท่ากับการมีภูมิคุ้มกันต่อความเครียดต่ำ

หลังจากมีอาการหมดไฟและประสบภาวะซึมเศร้าในช่วงปี 2020 ลีแอนนาตัดสินใจสังเกตลักษณะการทำงานของตัวเองและสิ่งที่พบคือ

  • ช่วงเวลาที่เหมาะกับการทำงานในตอนเช้าและตอนกลางคืน
  • จำนวนโปรเจกต์และลูกค้าที่จะโทรคุยสูงสุดต่อวันและสัปดาห์
  • กิจกรรมในยามว่างที่ทำให้มีความสุขและมีพลัง

ลีแอนนากล่าวว่าถ้าไม่มีช่วงเวลาที่ตกต่ำหล่านั้น เธอคงไม่คิดที่จะสังเกตอารมณ์ของตัวเองขณะที่ทำงาน แต่เมื่อสุขภาพจิตมีผลต่อการทำงานของเราแล้ว เราก็ควรที่จะติดตามมุมต่างๆ ของชีวิตและหาวิธีที่ช่วยให้เรา Productive มากที่สุดและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. ทำให้อยากลองทำงานในแบบต่างๆ

สุขภาพจิตไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ ลีแอนนาบอกว่าเธอมีทั้งวันที่ดีและไม่ดี แต่ส่วนมากชีวิตเธอเหมือนเล่นรถไฟเหาะ กล่าวคือ เดี๋ยวมีพลังเดี๋ยวเหนื่อย เดี๋ยวสุขเดี๋ยวไม่แยแส เดี๋ยวตื่นตระหนกเดี๋ยวไม่รู้สึกอะไร

เมื่อเราใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอน สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือระบบที่ยืดหยุ่นเพื่อช่วยรักษาสมดุลที่ดีของเรา คือแทนที่จะยึดติดกับตารางเวลาหรือหาว่ามีอะไรผิดปกติ ลีแอนนาจะถามคำถามตัวเองว่า “พร้อมทำงานหรือยัง” เพื่อกำจัดสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจ

บางครั้งคำตอบที่ได้คือ ค่อยเก็บไว้ทำทีหลังหรือทำงานที่ง่ายๆ ก่อน บางครั้งเธอต้องใช้วิธีฉุกเฉินนั่นคือการทำงานเป็นช่วงสั้นๆ แล้วพักนานๆ คือทำแบบนี้จนกว่างานจะเสร็จถึงแม้จะช้าแค่ไหนก็ตาม

การทำแบบนี้อาจใช้ไม่ได้ผลเสมอไป แต่มันทำให้ลีแอนนาผ่านวันที่เธอต้องทำงานไปได้ ดังนั้น เราต้องรู้จักฟังเสียงร่างกายและทำตามจังหวะการทำงานของตัวเอง เพื่อที่เราจะทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จโดยไม่กระทบต่อสุขภาพ

แน่นอนว่าแต่ละคนมีสุขภาพจิตแตกต่างกัน การที่เราจะหาความสมดุลที่เหมาะกับตัวเองได้จะต้องใช้เวลา หากเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังมีความวิตกกังวลอยู่ก็ลองนำเทคนิคของคุณลีแอนนา ลี ไปลองใช้ดูเพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสำหรับการทำงานที่ดีขึ้นของเรา

เขียนโดย Parinya Putthaisong

อ้างอิง fastcompany

No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/life-hacks/this-is-how-my-anxiety-taught-me-how-to-work-more-effectively