ในวันที่การทำงานไม่เป็นดั่งใจ เคยคิดเล่น ๆ ไหมว่าใครกันนะที่เป็นคนคิดค้นการทำงานขึ้นมาบนโลก! แล้วความหมายแท้จริงของการทำงานคืออะไร แพชชั่น? การได้รับการยอมรับ? หรือการทำเพื่ออยู่รอด? วันนี้ ConNEXT จะพาเพื่อน ๆ ไปหาคำตอบกันกับ ‘History of work’
ใครคือคนแรกที่คิดการทำงานขึ้นมา?
คำตอบสั้น ๆ คือ คนแรกที่ประดิษฐ์การทำงานขึ้นมาคือ ‘มนุษย์’ นั่นเอง เพราะตั้งแต่สมัยโบราณ มนุษย์ต้องทำงานเพื่อดำรงชีวิต และรูปแบบการทำงานก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องไปตามยุคสมัย ซึ่งรูปแบบการทำงานแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้น เกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และได้มีการพัฒนารูปแบบการทำงานใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่ถ้าเราเจาะลึกไปกว่านั้น ในช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม แรงงานส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรกรรม โดยใช้แรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก ซึ่งการทำงานส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูกาลของพืชผล การทำงานจึงมีลักษณะเป็นงานอิสระสูง สามารถกำหนดเวลาการทำงานและปริมาณงานเองได้
จนมาในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการทำงาน แม้เครื่องจักรกลจะมีบทบาทแทนแรงงานคน สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมากขึ้นในเวลาอันสั้น แต่ความต้องการแรงงานมนุษย์ก็ไม่ได้ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการเริ่มทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย โดยมีรูปแบบการทำงาน แบบงานประจำ มีการกำหนดเวลาการทำงานและปริมาณงานไว้ล่วงหน้า พร้อมทั้งมีการกำหนดเรทค่าจ้าง การทำงานจึงเริ่มมีความสัมพันธ์กับเงินหรือรายได้มากขึ้น
History of work: รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปตามสมัย
รูปแบบการทำงานแบบ 9-5
- รูปแบบการทำงานแบบ 9-5 คือ การเริ่มงาน 9 โมง เลิกงาน 5 โมง และ ทำงานเป็นเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ หรือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- เกิดขึ้นจากการผสมผสานกันระหว่างแรงงานเรียกร้องสิทธิ, การทดลองของภาคอุตสาหกรรม, และค่านิยมทางสังคม ไม่ใช่ว่ามีใครคนหนึ่ง "คิดค้น" รูปแบบการทำงานนี้ขึ้นมา
- แรงงานในศตวรรษที่ 19 เรียกร้องลดชั่วโมงทำงาน: ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18 แรงงานต้องทำงานกันหนักมาก บางทีก็ยาวถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน! แรงงานจึงออกมาต่อสู้เรียกร้องให้ลดชั่วโมงลง
- ในปี 1920 Henry Ford ผู้บริหารโรงงานรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เกิดไอเดียให้พนักงานของ Ford Motor Company ทดลองทำงานแค่ 8 ชั่วโมงต่อวัน ปรากฎว่าผลผลิตกลับดีขึ้นเกินคาด!
- หลังจากนั้นรูปแบบการทำงานแบบ 9-5 กลายเป็นมาตรฐานที่บริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มนำระบบนี้มาใช้อย่างแพร่หลาย
รูปแบบการทำงานแบบ Remote work
- 1973: Jack Nilles นักวิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชาวอเมริกัน เขาเสนอว่าพนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านหรือจากสถานที่อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเขาได้บัญญัติคำว่า "Telecommuting" และ "Telework" ซึ่งมักใช้แทนกันได้ หมายถึงการทำงานนอกสถานที่ทำงานประจำ เช่น ที่บ้าน หรือสถานที่อื่น ๆ โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารเพื่อทำงาน
- 1979: John E. Taylor ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัท IBM เริ่มทดลองให้พนักงาน 5 คนทำงานที่บ้าน เห็นว่าพนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจากที่บ้าน เขาจึงอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ และขยายจำนวนพนักงานทำงานทางไกลเป็น 2,000 คน ภายในปี 1983
- รูปแบบการทำงานนี้แพร่หลายมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 ด้วยการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีการสื่อสาร
- รูปแบบการทำงานแบบ Remote work ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากพนักงานไม่สามารถเดินทางมาทำงานที่สำนักงานได้ รูปแบบการทำงานนี้จึงช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid work
- รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid work เป็นรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการทำงานแบบ Remote work และการทำงานแบบ Office work ที่ให้พนักงานทำงานจากที่บ้านหรือจากสำนักงานได้ตามความเหมาะสม
- การทดลองในช่วงแรก: บริษัทอย่าง IBM และ Xerox นำโปรแกรมการทำงานที่ยืดหยุ่นมาใช้ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 ซึ่งเป็นการริเริ่มรูปแบบแรก ๆ ของการทำงานแบบไฮบริด
- การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย: นโยบายเช่น US Family and Medical Leave Act ในปี 1993 และกฎหมายระหว่างประเทศที่คล้ายคลึงกัน ส่งเสริมตัวเลือกการทำงานที่ยืดหยุ่นสำหรับพนักงานที่มีความต้องการบางอย่าง
- เทคโนโลยี: คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อินเทอร์เน็ต และคลาวด์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ปูทางให้กับการทำงานระยะไกลสะดวกและการทำงานยืดหยุ่นขึ้น
- แนวโน้มทางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง: ปัจจัยเช่น การขยายตัวของเมือง, การเพิ่มขึ้นของคนรุ่นใหม่ในตลาดแรงงาน, และความต้องการความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต กระตุ้นให้ Hybrid เป็นรูปแบบการทำงานทางเลือกที่เป็นที่นิยม
- การระบาดของ COVID-19: ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้การทำงานแบบไฮบริดเป็นเรื่องปกติและเร่งการนำไปใช้ในทุกอุตสาหกรรม
รูปแบบการทำงานแบบ 4 Days per week
- รูปแบบการทำงานแบบ 4 Days per week เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2010 โดยบริษัทหลายแห่งในยุโรปและอเมริกาเหนือเริ่มทดลองให้พนักงานทำงานเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ วันละ 10 ชั่วโมง แทนการทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง และได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- ผลการวิจัยจากการทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า รายได้ในทุกบริษัทเพิ่มขึ้น 8.1% ในช่วงทดลอง และเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2021
- ความเหนื่อยล้าของพนักงานลดลง ความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานลดลง
- ความสมดุลในชีวิตการทำงานและครอบครัวเพิ่มขึ้น 60% ในขณะที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและสมาชิกในครอบครัวดีขึ้น 44.9% และโดยรวมแล้ว ความพึงพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้น 57.5%
- รูปแบบการทำงานแบบ 4 Days per week มีข้อดีคือ พนักงานสามารถมีเวลาว่างมากขึ้นสำหรับพักผ่อนและทำงานอดิเรก อย่างไรก็ตาม รูปแบบนี้ก็มีจุดอ่อนคือ พนักงานอาจต้องทำงานหนักขึ้นในแต่ละวันเพื่อให้งานเสร็จทันกำหนด
แล้วรูปแบบการทำงานแบบไหนที่เหมาะกับเรานะ?
รูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับเรานั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลักษณะงาน ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว รายได้และความพึงพอใจ
ถ้าเราเป็นคนที่ชอบทำงานเป็นทีมและต้องการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การไปทำงานประจำที่ออฟฟิศอาจเป็นรูปแบบการทำงานที่เหมาะกับเรา
แต่ถ้าเราเป็นคนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานและต้องการใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น การ Work from home หรือ Hybrid work อาจเป็นรูปแบบการทำงานที่เหมาะกับคนกลุ่มนี้
ส่วนรูปแบบการทำงานแบบ 4 Days per week นั้น ยังคงเป็นที่น่าจับตามองว่าประเทศไทยเราจะสามารถทำงานรูปแบบนี้ในอนาคตได้หรือไม่?
สรุป รูปแบบการทำงานแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นจากแนวคิดของคนต่าง ๆ ที่ต้องการปรับปรุงการทำงานให้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมอบความยืดหยุ่น สวัสดิการที่ดีและตอบโจทย์มากขึ้นให้กับพนักงาน ซึ่งรูปแบบการทำงานแบบ 9-5, Remote work, Hybrid work,และ 4 Days per week นั้น ล้วนมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการและข้อตกลงของพนักงานและองค์กรในการทำงานร่วมกัน
แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ ชอบทำงานรูปแบบไหน? อย่าลืมมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะ
อ้างอิง Sources 1, Sources 2, Sources 3, Sources 4, Sources 5, Sources 6, Sources 7, Sources 8