12 เทรนด์ ทิศทางการทำงานที่น่าจับตามองในปี 2023 | Techsauce
talentsauce logo
ฝากประวัติ ค้นหา Tech Talent Talent Insights Job Hack Life Hacks News Video Podcast
12 เทรนด์ ทิศทางการทำงานที่น่าจับตามองในปี 2023
By Chanapa Siricheevakesorn ธันวาคม 19, 2022
share facebook icon share facebook icon hover share x icon share x icon hover share line icon share line icon hover share icon share icon hover

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปทิศทางของการทำงานก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางเทคโนโลยี และการเผชิญวิกฤตโรคระบาด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้คนมี “New Normal” หรือวิถีในการใช้ชีวิตแบบใหม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโลกแห่งการทำงานซึ่งเราจะเห็นได้จาก The Great resignation และ Quiet quitting ที่องค์กรต่างๆ หรือแม้แต่องค์กรขนาดเล็กควรเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อรองรับความคาดหวังของพนักงานที่เปลี่ยนไป 

ในบทความนี้ ConNEXT จะพาทุกคนไปศึกษาแนวโน้มและทิศทางการทำงานที่คุณควรจับตามองในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงให้เหมาะสมกับตัวคุณเองได้

1. Gen Z น้องใหม่มาแรงที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคใหม่

Gen Z (ค.ศ. 1997-2010) ถือเป็นกลุ่มแรงงานยุคใหม่ล่าสุดในปัจจุบันซึ่งคนกลุ่มนี้ค่อนข้างแตกต่างจาก Generation ก่อนๆ โดยกลุ่ม Gen Z เกิดและเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีอินเทอร์เน็ตเป็นศูนย์กลาง ทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มที่องค์กรต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของแรงงานและจัดหาซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับกลุ่มคนรุ่นนี้

นอกจากนี้การที่ Gen Z กำลังเข้ามาแทนที่แรงงานทั่วโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ายังส่งผลให้หลายๆ องค์กรต้องสำรวจความคิด ปรับกลยุทธ์ ปรับการทำงาน และจัดฝึกอบรมทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของคนกลุ่มนี้เพื่อให้คนรุ่นใหม่และองค์กรสามารถช่วยผลักดันซึ่งกันและกันให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2. Remote work หรือการทำงานระยะไกลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

หลังจากเกิดการแพร่ของโรคระบาดตั้งแต่แรกๆ จนถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าการทำงานทางไกลจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงมากขึ้น เนื่องจากการทำงานทางไกลสามารถช่วยลดค่าใช้จ่าย และช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการทำงานให้กับพนักงานได้ ซึ่งในปี 2022 นี้เราได้เห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์การทำงานทางไกลให้สะดวกมากยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าพนักงานยุคใหม่ชอบอิสระและความยืดหยุ่นที่เพิ่งค้นพบซึ่งมาพร้อมกับการทำงานจากระยะไกล จึงทำให้การเพิ่มขึ้นของคนรุ่นใหม่ในตลาดแรงงาน และกระแส Digital nomads กระตุ้นให้องค์กรต่างๆ กำหนดรูปแบบการทำงานใหม่ และมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการทำงานจากระยะไกลมากยิ่งขึ้น 

3. พนักงานต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

บริษัทต่างๆ กำลังมองหาวิธีเพิ่มความยืดหยุ่นในช่วงเวลาและสถานที่ในการทำงาน จากการสำรวจ Pulse Survey of C-suite ของ PWC พบว่า มีบริษัทกว่า 43% นำเสนอโมเดลไฮบริด ที่เน้นในเรื่อง สุขภาพกาย สุขภาพใจ การเงิน และพ่วงมาด้วยผลประโยชน์อื่นๆ เช่น การทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ วันหยุดพักผ่อนและการทำงานจากที่ใดก็ได้ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบมีส่วนร่วมซึ่งทุกคนมีความเท่าเทียมกันอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลราว 45% ของ Millennials และ 49% ของ Gen Z ที่ต้องการงานที่มีความยืดหยุ่น อ้างอิงจาก The Deloitte Global, 2022 ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งในนิวซีแลนด์ที่ได้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 2 เดือนจากนั้นพบว่าการปรับรูปแบบการทำงานดังกล่าวทำให้พนักงานมีความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเพิ่มขึ้น 24% การมีส่วนร่วมในองค์กรเพิ่มขึ้น 20% และระดับความเครียดลดลง 7% อีกด้วย (CNN, 2018) 

4. Centralized communication หรือการรวมศูนย์ข้อมูลที่ทุกองค์กรควรนำมาปรับใช้

Centralized data หรือการรวมศูนย์ข้อมูล เป็นเทคโนโลยีที่องค์กรไม่ควรมองข้ามเพราะการรวมศูนย์ข้อมูลจะสามารถทำให้องค์กรรวบรวมข้อมูลที่ต้องใช้งานในปัจจุบัน และที่อาจต้องใช้งานในอนาคตมารวมที่ศูนย์โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล (Data infrastructure) เพื่อให้ง่ายต่อพนักงานในการใช้งานข้อมูลได้จากแหล่งเดียวกัน พร้อมกันและเห็นภาพรวมโครงสร้างข้อมูลในมุมมองเดียวกัน ทั้งนี้องค์กรควรออกแบบระบบและเทคโนโลยีให้รองรับกับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้พร้อมในการต่อยอดการใช้งานในอนาคตอีกด้วย

5. พนักงานรุ่นใหม่เน้นความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากขึ้น

ทุกวันนี้พนักงานรุ่นใหม่จัดให้ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดี ( Work-life balance) สำคัญสูงที่สุด ดังนั้นถ้าองค์กรสามารถทำให้คนรุ่นใหม่พึงพอใจโดยการสร้างสังคม สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมที่หลากหลาย และให้สมดุลกับการทำงานได้ ก็มีแนวโน้มที่จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และมีแนวโน้มที่คนรุ่นใหม่จะอยู่กับองค์กรนั้นๆ มากกว่าห้าปีอีกด้วย

6. หลายองค์กรลงทุนในสวัสดิการของพนักงานเพิ่มขึ้น

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาพนักงานในตลาดแรงงานต้องเผชิญกับการทุ่มเทให้กับการทำงานมากจนละเลยความเป็นอยู่ของตนเอง จนส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต ความเครียด และอาการ Burnout หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนให้องค์กรตระหนักเพื่อพยายามดึงบุคลากรที่มีความสามารถเอาไว้เป็นผลให้ในปัจจุบันหลายๆ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และความเป็นอยู่ที่ดีของที่ทำงานมากขึ้น โดยมีองค์กรจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ได้วางกลยุทธ์ด้านสุขภาพในสถานที่ทำงานเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน เช่น ศูนย์ออกกำลังกายที่ออฟฟิศ อาหารกลางวันฟรี บริการดูแลเด็ก(บุตรของพนักงาน) และสวัสดิการการรักษาพยาบาล

7. ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศ

ปัจจุบันโลกแห่งการทำงานเปิดกว้างมากขึ้น และกระแสความเท่าเทียมทางเพศกำลังมาแรง ทำให้หลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นแคมเปญความหลากหลายที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นใจให้ผู้หญิงขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาหนึ่งของ McKinsey, 2020 พบว่าองค์กรที่มีตัวแทนในระดับผู้นำที่เป็นเพศหญิงนั้นมีแนวโน้มที่จะมีชัยเหนือคู่แข่งถึง 50% นอกจากนี้การเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างเพศยังสามารถเพิ่ม GDP ได้ประมาณ 35% อีกด้วย

8. ธุรกิจที่มีแนวคิดเพื่อสังคมมีแนวโน้มที่ดึงดูดผู้ที่มีความสามารถรุ่นใหม่ได้มากกว่า

ผู้สมัครงานในปัจจุบันต้องการบริษัทที่แสดงความมุ่งมั่นที่จะรักษาคุณค่าและให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม จากรายงานของ The Deloitte Global, 2022 ได้กล่าวว่าการมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทโดยประมาณ 20% ของการสำรวจพนักงานทั่วโลกเผยว่าจะปฏิเสธการทำงาน หากงานนั้นๆ ไม่ได้สอดคล้องกับคุณค่าในชีวิต ซึ่งหากนายจ้างแสดงออกถึงความใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีวัฒนธรรมในองค์กรที่ยอมรับในความหลากหลายก็มีแนวโน้มสูงที่คนรุ่นใหม่จะทำงานกับองค์กรนั้นๆ นานกว่า 5 ปี

9. Gig Economy เติบโตอย่างต่อเนื่อง

Gig Economy หรือเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่องค์กรจะเน้นการจ้างงานในรูปแบบชั่วคราว สัญญาจ้าง และฟรีแลนซ์ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า Gig Economy น่าจะกลายมาเป็นระบบเศรษฐกิจหลักในอนาคต เพราะมีลักษณะการทำงานที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่และช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายทางธุรกิจขององค์กรได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการจ้างพนักงานประจำอีกด้วย

10. Upskilling เพื่อยกระดับทักษะในการทำงาน

ทุกสิ่งเกี่ยวกับแรงงานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้การ Upskill หรือกระบวนการที่บุคคลเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้นในแวดวงธุรกิจ พนักงานจึงต้องเรียนรู้ทักษะและความสามารถใหม่ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล นอกจากนี้รายงานปี 2017 โดย Capgemini และ LinkedIn เผยว่า Skill Gap ทำให้องค์กรสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากการขาดแคลนผู้ที่มีความสามารถ ทำให้หลายบริษัทลงทุนอย่างหนักไปกับการอัพสกิลให้กับพนักงานมากขึ้นกว่าที่เคย

11. หุ่นยนต์ + มนุษย์ในที่ทำงาน

ทุกวันนี้วิวัฒนาการของ AI และ Machine learning สามารถทำงานอัตโนมัติเพื่อจัดการกับงานทั่วไปได้ทำให้พนักงานที่เป็นมนุษย์สามารถทำงานได้อย่างง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น การเข้ามาของเทคโนโลยีเหล่านี้จึงทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสกับงานที่มีความสำคัญมากกว่าได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลของ Tractica ได้เผยว่าการใช้ผู้ช่วยดิจิตอลเสมือนจะกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยในที่ทำงาน และมีจะผู้ใช้เกือบ 1 พันล้านคนที่ต้องพึ่งพาผู้ช่วยเสมือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในปี 2568 นอกจากนี้ 74% ขององค์กรยังเชื่อว่า AI จะรวมอยู่ในแพลตฟอร์มขององค์กรทั้งหมดภายในปี 2566 ด้วยเหตุ เช่น AI ช่วยรวบรวมข้อมูลให้มนุษย์สามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทต่างๆ เพิ่ม AI เข้าไปในองค์กรมากขึ้นเรื่อยๆ 

12. เทรนด์ Soft Skill กำลังมาแรง

แน่นอนว่าหลายคนยังให้ความสำคัญกับ Hard Skill มากกว่าเพราะมองว่าถ้าเราขาดสิ่งนี้ไปก็คงไม่สามารถประกอบอาชีพนั้นๆ ได้เลย ขณะเดียวกันการที่เราจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ก็ต้องใช้ Soft Skill ที่ช่วยให้เราสามารถทำงานและสื่อสารกับผู้อื่นได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งขาดไม่ได้ในโลกการทำงานในปัจจุบันด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนกลับมองข้ามเพราะอาจด้วยความที่วัดยาก แต่กลับมีบทบาทสำคัญในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของพนักงาน เพราะทักษะด้านอารมณ์เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ และสร้างโอกาสสำหรับความก้าวหน้า พูดง่ายๆ ก็คือ ทักษะด้านอารมณ์ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำงาน และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เทรนด์ Soft Skill กำลังมาแรง

แนวโน้มทั้งหมดเหล่านี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าทิศทางในปีหน้า หลายๆ องค์กรต้องทำการบ้านคือ เรื่องของการให้ความสำคัญระหว่างความสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ความเป็นอยู่ ความเท่าเทียมและการพัฒนาทักษะของพนักงานให้มากขึ้น เพื่อทำให้วัฒนธรรมขององค์กรสามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ และรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรได้นานมากขึ้น

อ้างอิง Financesonline

No comment

คัดลอก URL

×

https://techsauce.co/talentsauce/talent-insights/workplace-trends-2023