CEO บริษัท Microsoft เผย 3 เทรนด์การทำงาน ที่จะเข้ามากำหนดรูปแบบการทำงานในอนาคต | Techsauce
CEO บริษัท Microsoft เผย 3 เทรนด์การทำงาน ที่จะเข้ามากำหนดรูปแบบการทำงานในอนาคต

มีนาคม 29, 2023 | By Connext Team

หลังจากที่โลกผ่านมรสุมจากวิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้รูปแบบการทำงานของเราทุกคนเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่าในอนาคตรูปแบบการทำงานจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกไหมหรือจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทิศทางไหน? ยิ่งในปัจจุบันหลายบริษัทมีการนำเทคโนโลยีหรือระบบ AI เข้ามาช่วยในการทำงาน ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence (AI) รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ จะเข้ามาแทนที่หรือมีบทบาทในสายงานของเราจนทำให้เราต้องตกงานหรือเปล่า?

CEO บริษัท Microsoft เผย 3 เทรนด์การทำงาน ที่จะเข้ามากำหนดรูปแบบการทำงานในอนาคต

Satya Nadella ผู้บริหารของ Microsoft Corp. กล่าวว่า เมื่อ AI มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้โลกของการทำงานจะไม่หยุดนิ่งเหมือนเช่นเคย เพราะอาจมีรูปแบบการทำงานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งวันนี้ ConNEXT จะพาไปรู้จักกับเทรนด์การทำงาน 3 แบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

1. จะเกิดอาการ paranoid กับงานที่ทำ 

Productivity Paranoia หรือความหวาดระแวงจากบรรดาผู้นำ ที่คิดว่าพนักงานทำงานในรูปแบบ Hybrid หรือ Work From Home  จะทำให้งานมีคุณภาพน้อยกว่าการทำงานในออฟฟิศ แต่ถึงอย่างนั้น Productivity Paranoia ไม่ได้ทำให้อาการ Burn out หรือการหมดไฟในการทำงานแย่ลงเพียงเท่านั้น แต่ยังทำให้การทำงานแบบ Hybrid ไม่มีความแน่นอนอีกด้วย เพราะการกลับมาทำงานภายในออฟฟิศเต็มเวลาก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการหมดไฟในการทำงานเช่นกัน

งานวิจัยของ Microsoft กล่าวว่า ในการแก้ปัญหาอาการ Burn out เริ่มจากการมีเป้าหมายการทำงานมี่ชัดเจน พนักงานกว่า 81% มองว่าการที่หัวหน้าช่วยจัดลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะช่วยให้เป้าหมายของการทำงานนั้นชัดเจนมากขึ้นและลดอาการ Burn out ได้

2. มี AI เป็นผู้ช่วย

Machine Learning หรือการทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง กำลังพัฒนาด้านความรู้ความเข้าใจและความคิดสร้างสรรค์ที่ซับซ้อนให้พร้อมสำหรับการทำงานอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ซึ่งการปรับใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยให้มนุษย์ทำอะไรได้มากกว่าเดิม

ในปัจจุบันนักพัฒนาซอฟต์แวร์อาจใช้ Generative AI เพื่อเขียนโค้ดประมาณ 80% แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ไม่ต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยแบ่งเบางานในส่วนนี้ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Generative AI ได้ที่ : Generative AI คืออะไร ทำไมถึงโดดเด่นกว่า AI ทั่วไป มุมมองความเป็นไปได้ในอนาคต

3. พนักงานที่มี 10 soft skills เหล่านี้จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น

การแก้ไขปัญหา (Problem Solving)

ทักษะการแก้ไขปัญหาเป็นทักษะที่ค่อนข้างซับซ้อนและไม่ใช่ใครก็สามารถใช้ทักษะนี้ได้ดี แต่เป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ แค่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายอาชีพของเราด้วย ซึ่ง 5 ทักษะในประเภทนี้ ได้แก่

การจัดการตนเอง (Self-Management)

คุณและพนักงานในองค์กรอาจทำผิดพลาดในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการทำงานและข้อผิดพลาดเป็นของคู่กันเสมอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการจัดการตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทักษะในประเภทนี้จะช่วยรักษาจิตใจของคุณให้ทำงานต่อไปได้ ซึ่งมี 2 ทักษะด้วยกันดังนี้

การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Working with People)

หนึ่งทักษะที่สำคัญมากในการทำงานนั่นก็คือ การทำงานร่วมกับคนอื่น ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่คุณก็ยังคงต้องติดต่อสื่อสารกับผู้คนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าเองก็ตาม ทักษะด้านอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทักษะนั้นคือ

การใช้และพัฒนาเทคโนโลยี (Technology Use and Development)

ทักษะด้านเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากในอนาคต แต่ไม่ใช่แค่ทักษะในการเขียนโปรแกรมเท่านั้น ยังต้องอาศัยทักษะอื่นๆ เช่น ความเข้าใจ การใช้งานและวิธีการควบคุม เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจว่าคุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัวกับเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น มี 2 ทักษะด้วยกัน 

สุดท้ายนี้ 3 เทรนด์การทำงานในอนาคตเตรียมพร้อมไว้สำหรับการปฏิวัติการทำงาน การเสริมสร้างทักษะของการทำงานจะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับโลกแห่งการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพและเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น

 

เขียนโดย : Nichaphat Srijumpa 

อ้างอิง : weforum, lepaya

No comment