5 เทรนด์หลักแนวโน้มของภาคการเงินที่น่าจับตาในปี 2019

5 เทรนด์หลักแนวโน้มของภาคการเงินที่น่าจับตาในปี 2019

Accenture เผยแนวโน้มภาคการเงินปี 2019 ธนาคาร บริษัทประกัน และบริษัทจัดการสินทรัพย์ อาจจับมือกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี และให้ความสำคัญกับ SME และธุรกิจที่เจาะตรงถึงผู้บริโภค

ปัจจุบันอุตสาหกรรมบริการทางการเงินต้องฝ่ากระแสอันหนักหน่วง ทั้งที่เป็นผลจากกรอบกฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนไป ภาวะการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นจากการมี Startup ด้าน Fintech รวมทั้งการที่ผู้เล่นเดิมในตลาดต่างทุ่มทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น การพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นยากอยู่แล้ว ยิ่งอนาคตของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็วเช่นบริการทางการเงิน ก็ยิ่งประเมินได้ยาก แต่เมื่อมองปี 2019 โดยรวม ก็พอจะเห็นสัญญาณจากบรรดาธนาคาร บริษัทประกัน และบริษัทจัดการสินทรัพย์สำคัญ ๆ ในไทยและในเอเชียแปซิฟิก ที่พากันยกเครื่องเทคโนโลยีขององค์กรใหม่ เพื่อให้รองรับความร่วมมือหรือประสานระบบกับยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีให้ได้

ในปีนี้เราคงได้เห็นธุรกิจการเงินหันมาใช้เทคโนโลยี Big Data เข้ามาช่วยในการออกผลิตภัณฑ์แบบใหม่หมดจด ปรับราคาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาโซลูชั่นดิจิทัลที่รองรับธุรกิจ SME และกิจการธนบดีธนกิจ

แนวโน้มในภาคบริการทางการเงินต่อไปนี้ เป็นเพียงสรุปโดยรวม แต่ก็น่าจะช่วยให้เห็นภาพว่าในปี 2019 จะมีอะไรแปลกใหม่ในอุตสาหกรรม เทรนด์หลัก ๆ ที่น่าติดตามในปีนี้ ได้แก่

1.ยกระดับเทคโนโลยี เพื่อประสานระบบและร่วมมือกับยักษ์ใหญ่ในวงการดิจิทัล

สิ่งสำคัญสำหรับธนาคารและบริษัทประกันภัยที่ก่อตั้งมานานคือ การอัปเดตและยกระดับเทคโนโลยีเอนเทอร์ไพรซ์และความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ให้ทัดเทียมหรือก้าวทันยักษ์ใหญ่ในวงการอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น ไลน์ (Line) ในประเทศไทยและญี่ปุ่น อาลีบาบา (Alibaba) ในจีน หรือ ฟลิปคาร์ต (Flipkart) ในอินเดีย เพราะจะช่วยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้ก้าวล้ำและครบวงจรมากขึ้น

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือ บริษัทประกันภัยชั้นนำในอินเดีย สิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิก ต่างขายผลิตภัณฑ์เพื่อการปกป้องคุ้มครองต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แอปฯ บริการเรียกรถ หรือผ่านบริการจัดการท่องเที่ยวออนไลน์ ซึ่งธนาคารในไทยก็ได้จับมือกับยักษ์ใหญ่ในวงการดิจิทัล เพื่อให้ธนาคารเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค สิ่งที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสารสนเทศ (CIO) ของทุกธนาคารและบริษัทประกันควรตั้งคำถาม ณ ตอนนี้ก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าบริษัทมีเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่เหมาะสม และจะดำเนินการได้รวดเร็วพอต่อการนำผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ไปประสานเข้ากับผู้เล่นรายใหญ่ ๆ ในวงการเทคโนโลยีและดิจิทัล

2. กำหนดราคาให้เหมาะสมขึ้นด้วยดิจิทัล และใช้ Big Data ให้ครอบคลุม

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจะต้องเปลี่ยนจากการใช้สร้างประสบการณ์ลูกค้าโดยรวม ไปเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม และใช้เป็นหลักในการพัฒนาโมเดลการตั้งราคาที่ซับซ้อน ธุรกิจบริการด้านการเงินจึงควรใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้ามาช่วยเรื่องการตั้งราคา โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดที่ยังไม่ค่อยมีข้อมูลเป็นระบบ และการตั้งราคาทำได้จำกัด การเตรียมความพร้อมด้านนี้จึงช่วยให้ธนาคารและบริษัทประกันสามารถพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาเสริมพ่วงกันได้ ลองนึกถึงกรณีที่คุณสามารถทำประกันรถยนต์และบ้าน รวมทั้งเปิดบัญชีออมทรัพย์ได้ในเวลาเดียวกัน

ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย บริษัทประกันภัยที่นำเครื่องมืออย่างเทคโนโลยี IoT เข้ามาใช้รวบรวมข้อมูลให้ได้มากขึ้น เพื่อนำมาช่วยตั้งราคาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย นับเป็นเทรนด์หนึ่งที่น่าจะเป็นที่นิยมมากขึ้น ถ้ามีการนำเทคโนโลยีและความรู้ความเชี่ยวชาญด้านบิ๊กดาต้าอนาลิติกส์มาใช้กันอย่างแพร่หลาย

3. คิดให้เล็กเพื่อทำการใหญ่

ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME จะเป็นจุดสนใจพิเศษทั้งในไทยและในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งอื่น ๆ ด้วยในช่วงปีนับจากนี้ โดยประเมินจากภาพรวมระดับมหภาคที่มีนโยบายการคุ้มครองตลาดและความเป็นชาตินิยมที่กำลังเฟื่องฟูทั่วโลก ดังนั้น ธุรกิจที่ให้บริการด้านการเงินจึงควรหันมาสนใจและให้ความสำคัญ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการธนาคารและประกันภัยแก่ธุรกิจ SME ให้มากขึ้น รวมทั้งให้บริการที่ดีขึ้นได้จากการใช้บิ๊กดาต้าเข้ามาช่วยพิจารณากรมธรรม์ ตัวอย่างเช่น การใช้ช่องทางดิจิทัลช่วยในการกระจายผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เข้าถึงธุรกิจ SME อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคยังทำไม่ได้ถึงจุดนั้น

4. เชื่อมตรงถึงผู้บริโภค (D2C) ลดช่องโหว่ด้านธรรมาภิบาล

ในภาวะที่มีความสงสัยเคลือบแคลงต่อการปฏิบัติการของผู้ให้บริการทางการเงิน บริษัทประกันและบริษัทจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง แทนที่จะหวังพึ่งสายสัมพันธ์ผ่านตัวแทนมากเกินไป ซึ่งขึ้นอยู่กับค่านายหน้า จึงอาจเสี่ยงทำให้มีธรรมาภิบาลน้อยลงหรือระบบไม่เข้มพอ เทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นหนทางที่รวดเร็วและทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยให้มีระบบกำกับ เพราะคนนับล้านในภูมิภาคใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กันอย่างแพร่หลาย จึงเป็นไปได้ที่บริษัทต่าง ๆ จะเริ่มขายผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ผ่านแอปฯ ให้แก่ลูกค้าโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านคนกลาง ทำให้ธุรกิจคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีผู้ช่วยทางการเงิน Roboadvice

บริการด้านการจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งโดยอัตโนมัติแบบครบวงจร และเครื่องมือเทคโนโลยีผู้ช่วยทางการเงิน Roboadvice ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเราจะเห็นว่ามีการปรับให้การบริหารความมั่งคั่งทำได้ง่ายและคล่องตัวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เห็นได้ชัดจากการให้ความสำคัญกับระบบผู้ให้คำแนะนำทางการเงินซึ่งมีการพัฒนาก้าวหน้ากว่าเดิมมาก
โมเดลแบบไฮบริดหรือผสมผสานนี้ จะใช้ข้อมูลคำสั่งซื้อที่บริษัทการเงินสั่งสมมาตลอดหลายปี นำมาประมวลกับเครื่องมือวิเคราะห์ใหม่ ๆ ที่เจ้าหน้าที่สามารถนำมาใช้เพื่อให้โซลูชั่นคำแนะนำที่มีประสิทธิภาพ สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ขณะนั้น ๆ และลูกค้าแต่ละรายได้อย่างเหมาะสม โดยลูกค้ายังคงมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานได้ด้วย

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

KBTG เผย ‘Horizontal Core Banking’ บิ๊กโปรเจกต์ขยายระบบหลังบ้าน KBank รองรับการเติบโตได้ถึงปี 2031

เจาะอินไซด์การขยายระบบหลักของธนาคารกสิกรไทย เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้ายาวถึงปี 2031 ใน ‘Core Banking Horizontal Scale Project’ โดยทีม KBTG และทีม KBank รวมแล้วพันคน มาร่วมแรงร่ว...

Responsive image

DeepSeek และ Qwen: เมื่อ AI ราคาถูกเปลี่ยนโฉมโลก

DeepSeek และ Qwen จาก Alibaba กำลังเปลี่ยนแปลงวงการ AI ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ และระบบนิเวศ AI ทั่วโลก สุภาวดี ตันติยานนท์ วิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางที่ประเทศไทยค...

Responsive image

ทำไม Deepseek อาจยังไม่ใช่การก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ฟังความเห็น ดร.พัทน์ แห่ง MIT Media Lab

DeepSeek R1 คือ AI จากจีนที่ถูกมองว่าอาจท้าทาย ChatGPT-O1 ของ OpenAI แต่ ดร. พัทน์ ภัทรนุธาพร วิเคราะห์ว่า DeepSeek อาจยังไม่ใช่ "breakthrough" ที่แท้จริง...