นักวิทย์พบ ‘อึจากเพนกวิน Adelie’ ช่วยลดโลกร้อนได้

ในขณะที่โลกกำลังหาทางรับมือกับภาวะโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์กลับค้นพบ “พระเอกที่ไม่คาดคิด” จากทวีปน้ำแข็งทางใต้สุดของโลก... และมันไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ล้ำยุคหรือเทคโนโลยีล้ำสมัยอะไรทั้งนั้น แต่มันคือ “อึเพนกวิน”

งานวิจัยใหม่จากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ได้เผยว่า ของเสียจากฝูงเพนกวินนับหมื่นตัวในแอนตาร์กติกา อาจมีบทบาทช่วยชะลอผลกระทบจากภาวะโลกร้อนได้จริงๆ ด้วยกลไกทางธรรมชาติสุดน่าทึ่ง

กลไกที่ว่า อึเพนกวิน > แอมโมเนีย > เมฆ > กันแดด > ลดอุณหภูมิ

นักวิทยาศาสตร์พบว่า "อึเพนกวิน" หรือ กวาโน (guano) ที่สะสมอยู่ตามพื้นที่เพาะพันธุ์ขนาดใหญ่ หนึ่งในตัวอย่างก็คือ ฝูงเพนกวินพันธุ์ Adelie กว่า 60,000 ตัว ปล่อย ก๊าซแอมโมเนียออกมาในอากาศ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่าแอมโมเนียจากแหล่งนี้มีความเข้มข้นสูงกว่าค่าปกติถึงพันเท่าในบริเวณที่ลมพัดผ่าน

สิ่งที่น่าสนใจคือ แอมโมเนียสามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดเมฆได้ และเมฆเหล่านี้ก็ทำหน้าที่เหมือนผ้าห่มบางๆ ที่ลอยอยู่บนฟ้า คอยสะท้อนแสงแดดกลับขึ้นไป ไม่ให้พลังงานจากดวงอาทิตย์ลงมาทำให้น้ำแข็งกับทะเลด้านล่างร้อนเกินไป ผลที่ได้คือ น้ำแข็งในแอนตาร์กติกาจะละลายช้าลง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในยุคที่อุณหภูมิโลกพุ่งสูงขึ้นแบบนี้ เพราะในแอนตาร์กติกาไม่มีต้นไม้หรือพืชพรรณมาช่วยสร้างเมฆได้แบบภูมิภาคอื่นๆ การที่มูลของเพนกวินมาช่วยได้นั้น จึงเป็นการเติมช่องว่างทางธรรมชาติได้อย่างไม่น่าเชื่อ

โลกร้อนจริง น้ำแข็งละลายจริง แล้วเพนกวินจะช่วยได้แค่ไหน ?

ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว น้ำแข็งทะเลของแอนตาร์กติกาอยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 เท่าที่มีการบันทึกมา นั่นสะท้อนว่าอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากทะเลที่อุ่นขึ้นกำลังทำให้ระบบนิเวศขั้วโลกสั่นคลอนมากขึ้นทุกปี

ซึ่งถ้าน้ำแข็งก้อนยักษ์เหล่านี้ละลายออกสู่ทะเลจริงๆ จะส่งผลต่อระดับน้ำทะเลทั่วโลก เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของหมีขั้วโลกหรือเพนกวินอีกต่อไป แต่จะกระทบถึงบ้านเราด้วย

เรื่องนี้ฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วมันคือหลักฐานอีกชิ้นที่ทำให้เราเห็นว่า โลกธรรมชาติที่ซับซ้อนนั้นมีความเชื่อมโยงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่หรือตัวเล็ก สิ่งที่เราคิดว่าไม่สำคัญอย่างอึของเพนกวิน ก็อาจเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่ช่วยพยุงระบบของโลกใบนี้เอาไว้

Matthew Boyer หนึ่งในนักวิจัยจากทีมศึกษานี้ กล่าวไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า “การค้นพบนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงลึกซึ้งระหว่างระบบนิเวศและชั้นบรรยากาศ ที่ส่งผลต่อสภาพอากาศในพื้นที่ ถ้าโลกเราร้อนขึ้นจริง ระบบนิเวศพวกนี้ก็จะได้รับผลกระทบแบบลูกโซ่”

อ้างอิง: bloomberg

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ฟินแลนด์เปิดตัว Sand Battery ก้อนใหญ่ที่สุดในโลก ต้นทุนต่ำมาก

ฟินแลนด์เปิดตัว Sand Battery ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ใช้หินบดเก็บพลังงานความร้อนได้ยาวนาน ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้กว่า 60% ต้นทุนถูกกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมหลายเท่า เป็นก้าวใหม่ของระบบพ...

Responsive image

พลิกโฉมการเกษตรแอฟริกา! เมื่อ AI กลายเป็น "เพื่อนคู่คิด" เกษตรกรรายย่อย

AI กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญในพื้นที่ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง นั่นคือ "ไร่นา" ของเกษตรกรรายย่อยในทวีปแอฟริกา ที่ซึ่งเทคโนโลยีกำลังถูกนำมาใช้แก้ปัญหาปากท้อง ความมั่นคงทางอาหาร (Food Sec...

Responsive image

รายงาน Circularity Gap Report 2025 ชี้ยอดรีไซเคิลเพิ่ม แต่เศรษฐกิจหมุนเวียนยังไม่เกิด

แม้การรีไซเคิลเพิ่มขึ้น แต่เกือบ 90% ของวัสดุยังกลายเป็นขยะถาวร รายงานปี 2025 ชี้เศรษฐกิจหมุนเวียนจำเป็นต่ออนาคตที่ยั่งยืน...