คงไม่มีชาติใดจะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้เท่ากับญี่ปุ่น แผ่นดินไหว สึนามิ พายุไต้ฝุ่น และน้ำท่วม ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์แห่งความเสี่ยงที่ชาวญี่ปุ่นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ ญี่ปุ่นไม่ได้แค่ ‘อยู่รอด’ หากแต่ ‘รุ่งเรือง’ ได้ด้วย

วันนี้ Techsauce พามาถอดบทเรียนการรับมือภัยพิบัติแบบฉบับญี่ปุ่น ที่พาประเทศก้าวหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอน ผ่านมุมมองของศาสตราจารย์ Miho Mazereeuw จาก MIT ผู้ศึกษาญี่ปุ่นเชิงชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography) มานานกว่า 20 ปี และเจ้าของผลงานหนังสือ “Design Before Disaster: Japan's Culture of Preparedness”
เพื่อหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้ญี่ปุ่นแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ และไทยจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ ?
Prof. Mizo Mazereeuw เล่าว่า หัวใจสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นอยู่รอดท่ามกลางภัยพิบัติคือ ‘วัฒนธรรมความยืดหยุ่น’ (Resilience Culture) ที่ถูกถักทอเข้ากับทุกอณูของสังคม ตั้งแต่ระดับจิตวิญญาณไปจนถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เธอรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบในหนังสือเล่มล่าสุดของเธอ
แรงบันดาลใจของเธอเริ่มมาจาก ‘แผลในใจ’ เมื่อปี 1995 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิน ซึ่งได้ทำลายเมืองโกเบจนย่อยยับ รวมถึงที่ทำงานของพ่อแม่เธอด้วย เหตุการณ์นั้นทำให้ทั้งสังคมญี่ปุ่นตระหนักว่า
วิศวกรรมไม่อาจแก้ทุกอย่างได้ หากขาด ‘ระบบทางวัฒนธรรมและชุมชน’ มารองรับ การฟื้นฟูจะยั่งยืนก็ต่อเมื่ออาศัยการตัดสินใจของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง
แนวคิดนี้ผลักดันให้เธอก่อตั้ง Urban Risk Lab ที่ MIT เพื่อผสานนวัตกรรม การทดลอง และการทำงานเข้ากับประชาชนในพื้นที่จริง จากประสบการณ์ที่ได้ลงภาคสนามมานับไม่ถ้วน เธอสรุปว่าความสำเร็จของญี่ปุ่นเกิดจากการยอมรับความจริงพื้นฐานว่า
“เราไม่สามารถกำจัดภัยพิบัติได้ แต่เราสามารถออกแบบชีวิตให้สามารถอยู่ร่วมกับมันได้อย่างปลอดภัย”
แก่นแท้ของวัฒนธรรม Resilience Culture คือแนวคิดที่เรียกว่า Seikatsu Bōsai (ชีวิตประจำวัน + การป้องกันภัยพิบัติ) ญี่ปุ่นไม่ได้รอให้ไซเรนดังแล้วค่อยวิ่ง แต่พวกเขาฝังการเตรียมพร้อมไว้ในไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และประเพณีมาอย่างช้านาน เช่น
การออกแบบพื้นที่และชุมชนกันน้ำท่วมแบบดั้งเดิม (Waju)
ตั้งแต่ยุคเอโดะ มีการออกแบบระบบคันดินเป็นวงแหวนเพื่อปกป้องชุมชน พร้อมทั้งออกแบบบ้านเรือนให้มีพื้นที่น้ำไหลผ่านได้หากน้ำท่วม โดยมีห้องเก็บของสำคัญบนพื้นที่สูง มีระบบชักรอกเพื่อย้ายหิ้งบูชาบรรพบุรุษขึ้นสู่ห้องใต้หลังคา และมีเรือเล็กเก็บไว้ใต้ชายคาเสมอ
ประเพณีทางศาสนา ที่ถูกออกแบบให้สอดแทรกการป้องกันภัยพิบัติ
ศาลเจ้ามักถูกสร้างบนเนินเขา และเทศกาลทางวัฒนธรรมจะมีการแห่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป ทำให้ชาวบ้านคุ้นเคยกับเส้นทางอพยพโดยธรรมชาติ โดยในปี 2011 ซึ่งเกิดสึนามิที่เมืองมินามิซันริกุ ผู้คนจำนวนมากรอดชีวิตเพราะอพยพไปยังศาลเจ้า
ในมุมของการบริหารจัดการเมือง ญี่ปุ่นใช้หลักการสร้างอาคารบ้านเรือนแบบ Dual-Use คือสิ่งก่อสร้างต้องทำหน้าที่ได้ดีทั้งในยามสงบและยามคับขัน เช่น
Prof. Mizo Mazereeuw เสนอว่า หากเราต้องการลดความเปราะบางของเมือง เราต้องบูรณการทั้ง การปรับตัว (Adaptation), การบรรเทา (Mitigation) และการเตรียมพร้อม (Preparedness) เข้ากับวงจรภัยพิบัติ ผ่าน 5 หลักการสำคัญคือ
วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่เมื่อพฤศจิกายน 2568 เผยให้เห็นจุดอ่อนสำคัญของระบบรับมือภัยพิบัติไทย ทั้งการออกแบบที่ยึดติดอดีต การสูญเสียพื้นที่ซับน้ำ และการขาดการบูรณาการด้านสังคมและการใช้พื้นที่
จากการสัมภาษณ์ Prof. Mizo Mazereeuw มองเห็นจุดบกพร่องที่ไทยควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการขาดการวางแผนผังเมืองที่ดี ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการมีการสื่อสารที่ลื่นไหล เช่น การแปลระดับภัยพิบัติให้เข้าใจง่ายและเชื่อมโยงกับบริบทชีวิตประจำวัน เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจอพยพได้เร็วขึ้นและลดความสูญเสียจากการตัดสินใจล่าช้า
"แทนที่จะดูแผนที่ ผู้คนจะเข้าใจได้ดีกว่าหากพวกเขาได้เห็นพื้นที่ทางกายภาพที่พวกเขารู้จัก"
เมื่อถามว่าไทยควรจะปรับตัวอย่างไร เธอมองว่าควรนำเอาความได้เปรียบของไทยในด้านภูมิปัญญาดั้งเดิม รวมถึงเครือข่ายสังคมที่แข็งแกร่ง มาบูรณาการเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ เสริมด้วยการปลูกฝังความรับผิดชอบส่วนบุคคล และการสร้างชุดความคิดใหม่ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าและการพึ่งพาตนเอง และนำหลักการ Seikatsu Bōsai เข้ามาฝังในชีวิตประจำวันและระบบการศึกษาอย่างจริงจัง
“ทุก 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นรับมือภัยพิบัติในวันนี้ จะช่วยป้องกันการสูญเสียทางเศรษฐกิจในอนาคตได้สูงถึง 33 ดอลลาร์"
เธอมองว่า การลงทุนในการออกแบบก่อนภัยพิบัติเป็นการลงทุนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเปลี่ยนชาติของเราให้เป็นสังคมที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับคลื่นลูกต่อไปของภัยธรรมชาติที่กำลังจะมาถึง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด