เมื่อการระบาดของ COVID-19 ที่เรานั้นยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด และยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริษัทหลายรายต้องพบเจอกับวิกฤติทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งบริษัทที่คาดว่าจะอยู่ได้นานในวิกฤติครั้งนี้คือบริษัทที่ CEO นั้นสามารถที่จะประเมินสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้อย่า งรวดเร็ว เพื่อที่จะปรับตัวและปรับโครงสร้างบริษัทได้อย่างทันที
และนี่เป็นคู่มือที่จะช่วย CEO ที่บริษัทเผชิญกับปัญหากระแสเงินติดลบ หรือบริษัทที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะกระแสเงินติดลบ ประเมิน New Normal และสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที
การอยู่รอด = (ความเร็วในการเข้าใจสถานการณ์) x (ทางออกที่คุณเลือก) x (ความเร็วของระยะเวลาในการปรับเปลี่ยน)
จะเห็นได้ว่าคำว่า “ความเร็ว” นั้นปรากฎขึ้นสองครั้ง เพราะว่าอนาคตของบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณที่จะตัดสินได้อย่างรวดเร็วและเริ่มที่จะลงมือทำทันที ดังนั้นถ้าคุณเป็น CEO ที่ไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วหรือรอคนอื่นมาบอกว่าควรจะทำอย่างไร ก็เป็นไปได้ที่ผู้ลงทุนของคุณหรือตลาดจะเป็นตัวตัดสินใจแทนคุณเอง
เราอาจจะเห็นได้ในหลาย ๆ ส่วนของภาคเศรษฐกิจที่ถูกปิดตัวลง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ หรือร้านอาหาร ทุก ๆ ภาคส่วนล้วนได้รับผลกระทบต่อ ๆ ไปกันหมด ลูกค้าและรายได้ของคุณก็อาจจะเริ่มหดหายไป ดังนั้นในการที่จะเข้าใจสถานการณ์นี้ คุณนั้นจะต้องรีบประเมินสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับบริษัท Startup สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกคืออะไร? อาจจะเป็นคำถามอย่าง เงินในบริษัทตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่? มีเงินที่จะพอใช้อยู่อีกกี่เดือน? มีการลดค่าใช้จ่ายเพื่อที่จะอยู่รอดหรือไม่?
การประเมินภายนอก (External Assessment)
1. ภาวะทางเศรษฐกิจ
2. สภาพของตลาดเป้าหมาย
3. การเกิดขึ้นของตลาดใหม่
4. คาดการณ์ช่วงเวลาที่จะฟื้นตัว
5. ตรวจสอบเงินกู้สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
6. หากกำลังหาเงินลงทุน ตรวจสอบว่านักลงทุนนั้นยังมีเงื่อนไขเดียวกันอยู่หรือไม่
การประเมินภายใน (Internal Assessment)
1. การปฎิบัติการ
2. แหล่งเงินทุนอื่น ๆ
CEO ควรจะสร้าง “War Room” ทำงานกับ CFO และเจ้าหน้าที่ระดับ C-level เพื่อทำจะทำความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ทีมของคุณนั้นทำงานได้อย่างสอดคล้องกันมากขึ้น
ไม่ว่าคุณจะประเมินสถานการณ์อย่างไร คุณก็ต้องชี้แจงการประเมินนี้กับผู้ลงทุนและบอร์ด บอร์ดจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลและช่วยให้คำแนะนำแก่ CEO แต่ถ้าในกระณีที่คุณนั้นไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นและการประเมินของบอร์ด ควรจะทำเช่นไร? แน่นอนว่า CEO จะต้องเจอกับการตัดสินใจอันใหญ่หลวงระหว่าง “การทำตามข้อแนะนำของบอร์ดที่อาจจะทำลายบริษัทของคุณ” หรือ “ทำตามทางของคุณ”
หลังจากคุณนั้นได้ทำความเข้าใจและข้อตกลงจากการประเมินแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องสร้างแผนการใหม่สำหรับบริษัทของคุณ ซึ่งแผนการนี้มีอยู่ 3 ส่วน:
ปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบธุรกิจใหม่
เปลี่ยนแผนการดำเนินงาน
ความเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นฟู
สิ่งแรกคือการที่จะต้องคิดถึงจุดเปลี่ยนที่เป็นไปได้ ถามตัวเองว่าในตอนนี้มีลูกค้าใหม่หรือไม่? มีบริการหรือช่องทางใหม่ ๆ หรือไม่? ส่วนไหนของรูปแบบธุรกิจใหม่ของคุณที่สามารถมีส่วนร่วมกับ New Normal ที่จะเกิดขึ้นหรือเป็นที่นิยม เช่น การทำงานหรือเรียนจากที่บ้าน, การทำงานร่วมกันจากระยะไกล, การแพทย์ทางไกล หรือการขนส่งถึงบ้าน
ต่อไปคือการวางแผนการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน บริษัทก็ควรจะตระหนักถึงเรื่องการใช้จ่ายเงิน การตัดค่าใช้จ่ายออก อาจจะเป็นในส่วนของมาร์เก็ตติ้ง, การผลิต, การให้บริการ หรือ R&D หรืออาจจะต้องคำนึงถึง “Lifeboat Choices” หรือการประเมินว่าจะต้องลดพนักงานเท่าไหร่, การเจรจากับเจ้าหนี้ หรือการเปลี่ยนโฟกัสระหว่างการรักษาลูกค้า หรือการเรียกลูกค้า เป็นต้น จากการปรับเปลี่ยนแผน คุณจะต้องเมคชัวร์ด้วยว่าแผนกบุคคลและการเงินนั้นเข้าใจแล้วพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนสู่แผนการใหม่
CFO จะกลายมาเป็นหัวหนน้าในฝ่านการจัดการด้านการเงิน ดูแลเรื่องหนี้สิ้นทั้งหมด หาผู้ให้กู้ยืมเงินเพิ่มเติม รวมถึงติดต่อผู้ค้ารายใหญ่ทั้งหมดเพื่อขอราคาที่ต่ำกว่าเดิม
หัวหน้าแผนกบุคคลจะกลายมาเป็นผู้ที่ต้องลดพนักงานออก แต่ก่อนที่จะลดพนักงาน บริษัทก็ควรจะใช้มาตรการลดเงินเดือนพนักงานทุกคน 20% จากเงินเดือนทั้งหมด และตัดเงินเดือน CXO อย่างน้อย 30% มอบ และรักษาพนักงานคนสำคัญเอาไว้ ในส่วนการที่จะลดพนักงานออกก็ควรจะมาพร้อมกับความเห็นอกเห็นใจและค่าตอบแทนที่คุ้มค่ากับพวกเขาเหล่านั้น และสำหรับพนักงานที่ยังอยู่ บริษัทจะต้องจัดหาอุปกรณ์ในการ Work from Home ให้พวกเขา รวมถึงมาตรการบำบัดความเครียดจากการทำงานที่บ้าน
ถึงแม้ว่าคุณจะมีการประเมินและการเตรียมพร้อมเฉพาะกับพนักงานใน C-level แต่ในขั้นตอนนี้คุณจะต้องใช้ความฉลาดและไอเดียจากพนักงานในการเสนอรูปแบบธุรกิจใหม่ แผนการดำเนินงาน และแผนการฟื้นฟูบริษัท เนื่องจากพนักงานอาจจะมีความคิดเห็นที่ C-level นั้นอาจจะมองข้ามไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทก็คือการสื่อสาร สื่อสารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บอกให้พนักงานรู้ว่าคุณกำลังทำสิ่งใดและกำลังเจอกับอะไรอยู่ในขณะนี้
คุณจะต้องแจ้งรูปแบบธุรกิจใหม่, แผนการดำเนินงาน และแผนฟื้นฟูกับผู้ลงทุนและบอร์ด รวมถึงรับฟีดแบคกลับมาด้วย และจงย้ำเตือนพวกเขาถึงการประเมินครั้งที่แล้วที่มีความเข้าใจร่วมกัน เนื่องจากคุณไม่ใช่บริษัทเดียวที่พวกเขานั้นได้รับฟัง ดังนั้นโปรดจงรับฟังข้อแนะนำของพวกเขาเพราะเขาอาจจะได้รับไอเดียอื่น ๆ จากหลายบริษัทที่เขาได้พบเจอ
จากแผนการ “5-Day” นี้ มีสองสิ่งสำคัญที่ควรตระหนักก็คือเรื่องของการลดพนักงานและปรับเปลี่ยนภายในบริษัท
ในส่วนของการลดพนักงานนั้นบางบริษัทอาจจะใช้วิธีค่อย ๆ ลด เช่น บริษัทหนึ่งมีพนักงาน 1000 คน ก็ค่อย ๆ ลดครั้งแรก 100 คน ครั้งที่สอง 100 คนและครั้งที่สาม 100 คน ทำให้พนักงานที่ยังคงอยู่นั้นเกิดความกังวลและตระหนกว่าจะถึงคราวของพวกเขาหรือยัง แต่ถ้าหากบริษัทนั้นลดพนักงานทีเดียว 400 คนก็อาจจะทำให้เกิดการช็อคแต่ก็จะเกิดการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาอาจจะกังวลในตอนแรกแต่อาจจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในภายหลัง และเมื่อการจ้างงานกลับเป็นปกติพวกเขาจะรู้สึกว่า “สิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว สถานการณ์ต่อไปนี้จะกลับมาดีขึ้น”
และในการที่จะปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรสู่สิ่งใหม่ บริษัทก็ควรจะสื่อสารรูปแบบธุรกิจใหม่, แผนการดำเนินงาน และแผนฟื้นฟูบริษัท บอกพวกเขาว่าในฐานะ CEO คุณนั้นจะต้องทำการจัดการภายในบริษัทเพื่อความอยู่รอด คุณจะต้องตรงไปตรงมาและสื่อสารอย่างชัดเจน และจงคอยเตือนพวกเขาว่าพวกเขาทุกคนนั้นมีส่วนช่วยทำงานให้บริษัทนั้นอยู่รอดไปได้
แน่นอนว่าวิกฤติเศรษฐกิจนี้จะดำเนินต่อไป และคู่มือ CEO นี้จะช่วยธุรกิจของคุณให้อยู่รอด ฟื้นฟู และสามารถกลับมาแข็งแรงและเติบโตได้เช่นเดิม
บทความนี้แปลจาก Harvard Business Review เขียนโดย Steve Blank
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด