หนึ่งปีหลังจากการใช้กลยุทธ์ดังกล่าว ทางaCommerce บริษัทอีคอมเมิร์ซชั้นนำได้เปิดตัวการใช้งานกลยุทธ์ “aCommerce2.0” การรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจและประกาศการแต่งตั้งใหม่ โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้:
การดำเนินการตามกลยุทธ์“ aCommerce 2.0” ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาทำให้บริษัทกลายเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านอีคอมเมิร์ซรวมถึงยังช่วยพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ก้าวหน้าต่อไป aCommerce ได้ลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ในด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซและการบริการแบรนด์หลัก, พัฒนาแนวทางการปฎิบัติงานหรือ SOP, ยกระดับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร, จ้างบุคคลภายนอก(outsource)ให้ดำเนินงานที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท, ลดสัญญาที่ทำกำไรลง จึงทำให้บริษัทได้บรรลุเป้าหมายของกลยุทธ์“ aCommerce 2.0” ทั้งหมดรวมถึงได้รับผลกำไรก่อนกำหนด
องค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่า:
“กลยุทธ์ ‘aCommerce 2.0’ ของเราทำให้เราสามารถปรับปรุงการให้บริการแก่ลูกค้ากว่า 160 รายที่มีค่าของเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยให้เราทำกำไรและเติบโตขึ้นกว่า 120% สำหรับรายรับคิดต่อลูกค้าตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2019 อีกด้วยเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะส่งมอบการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% ต่อปีจากลูกค้าระยะยาวที่มีอยู่ของเรา เราสามารถทำได้เพราะเราเพิ่มปริมาณและราคาเฉลี่ยต่อการสั่งซื้อ ซึ่งเฉลี่ยแล้วเติบโตขึ้น 15% ต่อปีซึ่งในปัจจุบัน เราตั้งราคาอยู่ประมาณ US$38 ซึ่งหากเรามองดูภาพรวมจากการใช้งบประมาณอย่างถูกต้อง ทำให้กระแสเงินของบริษัทค่อนข้างที่จะมีกระแสเงินสดเชิงบวก และตอนนี้เรากำลังมองหาผู้ถือหุ้นระยะยาวในอนาคตอันใกล้นี้” กล่าวโดย Piers Bennett, Co-Founder และ Group CFO
การระบาดของ COVID19 ในต้นปี 2020 เผยถึงความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานขององค์กรและพฤติกรรมผู้บริโภค การระบาดของ COVID19 กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้หันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น รวมถึงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น แบรนด์ต่างๆหันมาใช้Omni-channel มากยิ่งขึ้น
ถึงเวลาแล้วที่บริการทั้งแบบดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซกำลังจะเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซ์ ทาง aCommerce ซึ่งมีความสามารถในด้านเทคโนโลยีแบบบูรณาการและการให้ข้อมูลแบบครบวงจรแก่ลูกค้าทั้งนี้ จึงนำกลยุทธ์ "aCommerce 2.0"มาใช้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้า
“เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญต่อธุรกิจของเราซึ่งเป็นผลมาจาก COVID-19 เช่นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและการดูแลสุขภาพ เราจะเห็นว่าอัตราการเติบโตปีต่อปีนั้นเป็นตัวเลขสามหลัก อย่างไรก็ตาม สินค้าหรูหราและสินค้าอิเล็คทรอนิคส์มีอัตราการเติบโตที่ 40% ต่อปี เนื่องจากแบรนด์ต่างๆให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างทันท่วงที เมื่อต้องเผชิญกับการลดลงของการขายผ่านช่องทางออฟไลน์แบบดั้งเดิม นอกจากนี้เรายังเห็นส่วนแบ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการขายแบบ Direct-to-Customer เช่น แพลตฟอร์มโซเชี่ยล, B2B และร้านค้าออนไลน์ของบริษัทหรือ“ brand.com” ซึ่งเราดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันมากถึง 50% ของยอดขายจากประมาณ 20% ถึง 30% ในปีที่แล้ว จากการตัดสินใจเมื่อปีที่แล้วของเราส่งผลรายได้ของเราเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การทำกำไรก่อนที่กำหนดไว้ได้อย่างรวดเร็ว” กล่าวโดย Paul Srivorakul, Co-founder และ Group CEO
บริษัทยังได้ประกาศเพิ่มเติมในด้านการแต่งตั้งบุคคลเหล่านี้เพื่อพัฒนาจุดยืนของ aCommerce เพื่อการเติบโตต่อไป:
“เรารู้สึกเป็นเกียรติในการต้อนรับผู้บริหารอาวุโสที่มีประสบการณ์สูงอย่าง Luca และผมหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับเขาเพื่อบรรลุเป้าหมายของเราในการเป็นบริษัทชั้นนำที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดและมีกระแสเงินสดที่ดีที่สุด สำหรับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ให้กับ Peter, Phensiri และ Graeme บ่งบอกถึงความสามารถของเราในการคัดเลือก, รักษาและพัฒนาเหล่าผู้นำที่แข็งแกร่ง เราได้รวบรวมผู้บริหารชั้นนำเพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์ 'aCommerce 2.0' อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับเราให้ไปสู่ระดับต่อไป รวมถึงสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนสำหรับคู่ค้า,ลูกค้าและพนักงานของเรา” สรุปโดย Mr. Srivorakul.
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด