ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่จะเป็นใคร ? บทบาทท่ามกลางความท้าทายของโลกการเงินในบริบทใหม่ | Techsauce

ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่จะเป็นใคร ? บทบาทท่ามกลางความท้าทายของโลกการเงินในบริบทใหม่

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้กับประเทศ โดยบทบาทหน้าที่ของ ธปท. เบื้องต้นนั้นจะเป็นผู้ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาล กำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ การกู้ยืมเงินตามการวางนโยบายทางการเงิน  การซื้อขายหลักทรัพย์เท่าที่จำเป็นและแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในอนาคต เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบการเงินของประเทศ 

 แบงก์ชาติ

นอกจากนี้ ธปท. ยังมีบทบาทเป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินและรัฐบาล โดยมีอำนาจหน้าที่ในการรับจ่ายเงินเพื่อบัญชีฝากของกระทรวงการคลัง  การรับเก็บรักษาเงิน  หลักทรัพย์ หรือของมีค่าอย่างอื่นเพื่อประโยชน์ของรัฐบาล  การเป็นตัวแทนของรัฐบาลในการซื้อขายโลหะทองคำและเงิน รวมถึงเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล  โดยมีอำนาจกระทำการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ย  หรืออาจเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจ  สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เป็นต้น 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วในการบริหารงาน และดูแลความเป็นไปของระบบการเงินของประเทศไทยทั้งหมด จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย....

ดร.วิรไท ผู้ว่าแบงก์ชาติเดิม ประกาศไม่ลงสมัยที่ 2

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมาธปท.ได้มีการประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แทน ดร.วิรไท สันติประภพ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ครบวาระแรกในวันที่ 30 กันยายน 2563 และได้ตัดสินใจไม่ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคัดเลือกสำหรับการดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2 ด้วยเหตุผลด้านครอบครัว

หลังจากนั้น ดร.วิรไท ได้ให้สัมภาษณ์กับทางคุณสุทธิชัย หยุ่น ถึงประเด็นที่ไม่ลงสมัครสมัยที่ 2 ว่า...เป็นเพราะเหตุผลส่วนตัว และการตัดสินใจในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิกฤต  COVID-19 และเป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลย ถึงแม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่า  ธปท. แล้ว  ในการช่วยเหลือประเทศชาตินั้นดร.วิรไท มองว่า ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนในสังคมไทย เราก็สามารถที่จะมีบทบาทที่จะช่วยได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป

พร้อมกันนี้ในบทสัมภาษณ์ดังกล่าวนั้นคุณสุทธิชัย ได้มีการถามดร.วิรไท ถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจไม่ลงชิงตำแหน่งผู้ว่าตำแหน่งที่ 2 ว่าแรงกดดันการแก้วิกฤติ COVID-19 ในครั้งนี้มีส่วนหรือไม่ ดร.วิรไท ให้คำตอบว่า "จริงๆ แล้วในบทบาทของการเป็นผู้กำหนดนโยบายบริหารระดับสูงของประเทศต้องเผชิญแรงกดดันโดยตลอด ธนาคารกลางก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันค่อนข้างมาก เพราะเรานั่งอยู่ท่ามกลางผลประโยชน์ ทุกอย่างที่ธนาคารกลางตัดสินใจ มีทั้งผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย เรื่องค่าเงิน เรื่องมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน LTV ต่างๆ มันมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ดังนั้นเรื่องนี้คงไม่ใช่เฉพาะตอนเกิดเรื่องโควิดเท่านั้น เป็นเรื่องที่นักธนาคารกลางต้องเผชิญตลอด

ส่วนเรื่องแรงกดดันทางการเมือง นั้นหากพูดกันในหมู่นักธนาคารกลาง ไม่เฉพาะในเมืองไทย มันเป็นส่วนหนึ่งของภาระหน้าที่ (part  of the job description) แล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ประเทศไหน ถ้าเรามีเจตนาที่ดีเหมือนกันทั้งฝั่งของรัฐบาลและธนาคารกลาง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน เพราะว่าระยะเวลาของการมองต่างกัน การเมืองเขาก็จะมองระยะเวลาของการเลือกตั้งเช่น 4 ปี และประเทศไหนที่การเมืองไม่มั่นคงก็ยิ่งมองสั้นกว่านั้นอีก 

ดังนั้นการเมืองก็จะหวังผลระยะสั้นๆ แต่ธนาคารกลางมีหน้าที่ดูแลเรื่องเสถียรภาพ เสถียรภาพเป็นแนวคิดระยะยาว เราต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่เป็นจุดเปราะบางที่จะนำไปสู่ปัญหาในระยะยาวหรือไปเกิดวิกฤติในระยะยาว เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะมีเจตนาที่ดีเหมือนกัน แต่ก็จะมีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลาซึ่งเป็นปัญหาของทุกธนาคารกลาง"

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 5  ปีที่ผ่านมาในการดำรงตำแหน่งของผู้ว่า ธปท.ของดร.วิรไท ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ผ่านการผลักดันระบบพร้อมเพย์ ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้ธนาคารพาณิชย์ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการโอนเงินและการชำระเงินต่างๆ รวมทั้งยังผลักดันให้ ธปท. เริ่มทดลองใช้เงินดิจิทัลผ่านโครงการอินทนนท์ 

และปัจจุบันที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤต COVID-19 ซึ่งได้เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น ส่งผลต่อเสียระบบเศรษฐกิจและการเงินเป็นอย่างมาก จนทำให้ทางธปท.ได้มีการออกนโยบายการเงินที่ถือเป็นการฉีกตำราการเงินทั้งหมดที่เคยมีมา โดยเฉพาะการตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องเพื่อลดความเสี่ยงของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund หรือ BSF) 

ยุทธศาสตร์ใหม่ภายใต้ผู้ว่าคนใหม่ และประเทศไทยในบริบทใหม่

แบงก์ชาติได้มีการปรับแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) : ธนาคารกลางท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง โดยระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา (2560-2562) ธปท.ได้มุ่งไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจการเงินให้มีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืนทั่วถึง พร้อมปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินที่มีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ

ทั้งนี้ในระยะเวลาอีก 3-5 ปีข้างหน้า ระบบเศรษฐกิจการเงินไทยจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมดังกล่าวที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รูปแบบธุรกิจ บริการทางการเงิน และระบบเศรษฐกิจ (disruptive technology) เป็นตัวเร่งสำคัญ นอกจากนี้ ระบบเศรษฐกิจสังคมไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการสะสมปัญหาเชิงโครงสร้างและความเปราะบางของสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่มากขึ้นด้วย 

แบงก์ชาติ

โดยความท้าทายของระบบการเงินนั้น มี 7 ประเด็น ได้แก่...

  • ระบบการเงินเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัลอย่างรวดเร็ว 
  • กรอบและกลไกการกำกับดูแลเสถียรภาพระบบการเงินต้องเท่าทันกับความเสี่ยง และสภาพแวดล้อมใหม่
  • นโยบายการเงินและนโยบายการคลังต้องคำนึงถึงขีดจำกัด โดยเฉพาะจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
  • อัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนสูง และการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของภาคเอกชนจะมีความสำคัญมากขึ้น
  • ภัยคุกคามทางไซเบอร์และความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีจะเป็นความเสี่ยงหลักของระบบการเงิน 
  • การดำเนินงานโดยคำนึงถึงความยั่งยืน (sustainability) ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จะเป็นเรื่องที่หลีก เลี่ยงไม่ได้
  • การรักษาความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายขึ้น

การวางรากฐานสำคัญขององค์กร 3 ประการ...

  • รากฐานสำคัญที่ 1 ปลดล็อกและเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานให้เป็นพลังขององค์กร
  • รากฐานสำคัญที่ 2 ปรับวัฒนธรรมองค์กรและกระบวนการทางานไปสู่การเป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวสูง
  • รากฐานสำคัญที่ 3 ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลเป็นเครื่องมือหลักในทุกกระบวนการทำงาน 

(อ่านแผนยุทธศาสตร์ฉบับเต็มได้ที่นี่)

ความท้าทายของการดูแลเศรษฐกิจ-การเงิน ในสภาวะ New Normal

การเข้ามารับตำแหน่งของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่มีความท้าทายสูงมาก จากการที่บริบทต่างๆทั่วโลก ได้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นอย่างมาก ซึ่งเราต่างก็ได้เห็นการงัดเครื่องมือทางการเงินต่างๆของผู้ดูแลระบบเศรษฐกิจและการเงินของแต่ละประเทศออกมาใช้กันอย่างแสนสาหัสจากวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้ เพราะทุก ๆ ครั้งที่เกิดวิกฤต หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ภาวะ New Normal หรือความปกติรูปแบบใหม่ 

ซึ่งถ้ามองในแง่เศรษฐศาสตร์การเงินแล้ว...สภาวะเศรษฐกิจโลก ที่จะมีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงจากในอดีตและเข้าสู่อัตราการเติบโตเฉลี่ยระดับใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม ควบคู่ไปกับอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความผันผวนทางเศรษฐกิจจะไม่ได้เป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจเดิมแบบที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวกำหนดการเติบโตทางเศรษฐกิจมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปหรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในลักษณะที่แตกต่างจากในอดีต

โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงเกิดจาก 3 สาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว ได้แก่ 1.) การใช้จ่ายทางการคลังจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงเวลาที่ผ่านมาโดยยอมให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น ซึ่งต้องชดเชยด้วยอัตราการเติบโตระดับต่ำในภายหลัง 2.) การกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น (re-regulation) หลังเกิดวิกฤติทั้งด้านการคลังและในตลาดเงิน จนนำมาสู่อัตราทดและผลตอบแทนทางการเงินที่ลดต่ำลง (deleveraging) และ 3.) การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการผลิตในแต่ละเศรษฐกิจเพื่อให้สอดคล้องกับทรัพยากรและความต้องการภายในประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต และลดการพึ่งพาการค้าการลงทุนระหว่างประเทศที่อาจมีมากเกินไป

ลุ้นเก้าอี้ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ เป็นใคร คนนอก หรือ คนใน...?

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาเป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครคัดเลือกผู้ว่า ธปท. คนใหม่ และได้มีกระแสข่าวระบุถึงผู้ที่มีคุณสมบัติครบ และมีความเหมาะสมว่าเป็นผู้ท้าชิงเก้าอี้ผู้ว่า ธปท. ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปฏิเสธข่าวลือกับทางประชาชาติธุรกิจเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งกล่าวอีกว่ายังสนุกกับงานที่กรมสรรพกรอยู่ 

และมีกระแสถึงดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ หนึ่งในกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งไม่ได้มีการปรากฏว่ายื่นใบสมัครแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีกระแสอีกว่า ดร.สันติธาร เสถียรไทย ผู้บริหาร Sea Group ลงสมัครชิงตำแหน่งดังกล่าวด้วย แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ออกมาปฏิเสธกับทาง สำนักข่าวมติชน โดยระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ปรารถนาดีให้ข้อคิดว่าควรสมัครแต่ตนนั้นยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ที่ Sea Group แต่ถ้าหากมีอะไรที่จะช่วย ธปท. หรือประเทศไทยในการช่วยคิด ให้ความเห็นจากมุมมองของภูมิภาคด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีก็ยินดีเสมอ

หลังจากที่มีข่าวลืออย่างไม่เป็นทางการถึงการคาดเดาการลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่า ธปท. ไปนั้นล่าสุดได้มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีผู้ยื่นสมัครคัดเลือกผู้ว่า ธปท. 4 ราย เป็นคนใน 2 ราย และคนนอก 2 ราย สำหรับคนนอกที่สมัครไม่มีชื่อ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่เป็นตัวเต็งมีคุณสมบัติเป็นผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ตามที่เป็นกระแสข่าวก่อนหน้านี้

ขณะที่คนในที่สมัครหนึ่งในนั้นมีชื่อของ คุณเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท.

อย่างไรก็ตาม คุณรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. จะประชุมเพื่อคัดสรรผู้เหมาะสมอีกครั้ง เพื่อทำงานต่อจากดร.วิรไท ที่จะหมดวาระในตำแหน่ง 5 ปี ในเดือนกันยายน นี้



ขอบคุณข้อมูลจาก BOT , SCBEIC ,Prachachat , Khaosod ,Matichon ,Bangkokbiznews 



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ไม่ยอมขายแอป ก็โดนแบน สหรัฐฯ จ่อแบน TikTok หวั่นเป็นภัยความมั่นคงชาติ

สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายแบน TikTok แล้ว บังคับบริษัทแม่ ByteDance ต้องขายแอปภายใน 1 ปี มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯ ด้านซีอีโอ TikTok ประกาศกร้าว พร้อมท้าทายกฎหมาย ไม่ไปไหนทั้งนั้น...

Responsive image

KBank ผนึก J.P. Morgan เปิดโปรเจกต์ Carina ใช้บล็อกเชน ลดเวลาทำธุรกรรมจาก 72 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที

Kbank ร่วมกับ J.P. Morgan Chase Bank เปิดตัวโปรเจคต์นวัตกรรมคารินา (Carina) ลดระยะเวลาการทำธุรกรรม จากที่ใช้เวลา 72 ชั่วโมงเหลือเพียงแค่ 5 นาที...

Responsive image

Apple Vision Pro ขายไม่ดีอย่างที่คิด Apple ลดคาดการณ์ยอดขายกว่าครึ่ง ปรับแผนใหม่

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สาย Apple เผยว่า Apple ได้ลดตัวเลขยอดขาย Apple Vision Pro ในปีนี้เหลือเพียง 400-450,000 เครื่องเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ (มากกว่า 700–800,000 เครื่อง)...