ถือเป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการที่จับตามอง สำหรับ Application บริการเรียกรถแบบออนดีมานด์อย่าง ‘Bolt’ ที่ได้ก้าวเข้ามาสู่สมรภูมิของประเทศไทย ที่ได้มีผู้เล่นรายเดิมอย่าง Grab Gojek และ Lineman ครองตลาดอยู่แล้ว แต่งานนี้ ’Bolt’ มาพร้อมกับจุดเด่นในการดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการด้วยราคาที่ถูกกว่ารายอื่นเฉลี่ย 20% พร้อมทั้งการดึงดูดคนขับให้เข้าร่วมด้วยการไม่หักค่าคอมมิชชั่นตลอด 6 เดือนแรก
Bolt เป็นบริการเรียกรถสัญชาติเอสโตเนียที่เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2013 (ชื่อเดิมคือ Taxify) ในปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 30 ล้านรายใน 35 ประเทศทั่วโลก โดยให้บริการทั้งการเรียกรถและบริการส่งอาหาร (ยังไม่มีให้บริการส่งอาหารในไทย)
การใช้งานหลักๆ ของ Bolt ไม่ได้ต่างจากแอปพลิเคชันเรียกรถรายอื่นๆ มาก ผู้ใช้เลือกสถานที่รับและสถานที่ปลายทาง แล้วรอให้แอปจัดหาคนขับให้ หลังจากเสร็จสิ้นการใช้บริการแล้วก็สามารถให้ดาวและให้ทิปคนขับได้ คนขับก็จะได้ทิปไปเต็มจำนวน
ผู้ที่สนใจจะเป็นคนขับของ Bolt ก็สามารถลงทะเบียนได้ในเว็บไซต์เช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นงานประจำ สามารถขับได้ในช่วงเวลาที่ว่าง ทั้งนี้ Bolt จะมีการหักค่าบริการประมาณร้อยละ 10–20 ต่อการให้บริการหนึ่งเที่ยว ไม่มีการคิดค่าคอมมิชชั่นรายเดือน
Bolt ในไทยมีรูปแบบรถให้เลือก 5 แบบ ได้แก่ แบบมาตรฐาน แบบประหยัด แบบสบาย แบบคันใหญ่ และแท็กซี่ ในช่วงแรก Bolt จะให้บริการในพื้นที่กรุงเทพและสมุทรปราการก่อน
ในประเทศไทยมีผู้ให้บริการเรียกรถรายใหญ่คือ Grab ซึ่งให้บริการในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย และมีรูปแบบของยานพาหนะให้เลือกหลากหลาย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์อย่างการจองล่วงหน้า และการเพิ่มหลายปลายทาง อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ที่มีจำนวนมากก็อาจทำให้ผู้ใช้ที่ไม่สันทัดเข้าใจได้ยาก ในขณะที่ Bolt เน้นการใช้งานที่ง่ายเป็นหลัก และยังไม่มีฟีเจอร์ข้างต้นเหล่านี้
อย่างไรก็ตามจากฟังก์ชั่นการใช้งานของ Bolt ที่มาตีตลาดด้วยบริการที่มุ่งเน้นการเรียกรถเพียงอย่างเดียวนั้นจะสามารถตีตลาดเจ้าเดิมที่มีความแข็งแกร่งด้านการตลาดในการดึงดูดผู้ใช้ และการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ด้วยจุดเด่นด้านราคาจะเพียงพอต่อการก้าวมาทำศึกในสมรภูมิที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเช่นนี้หรือไม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าติดตาม
แหล่งข้อมูล: Bolt , The New York Times
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด