จีนท้าชนสหรัฐฯ เดินหน้าครองอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก ท่ามกลางแรงกดดัน | Techsauce

จีนท้าชนสหรัฐฯ เดินหน้าครองอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก ท่ามกลางแรงกดดัน

สหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์หลายอย่าง เช่นการควบคุมการส่งออกและการห้ามจำหน่ายอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อสกัดกั้นการเติบโตของจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น ชิป AI และเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์กลับมีข้อจำกัด เนื่องจากจีนมีนโยบายพึ่งพาตนเองและพัฒนาการผลิตในประเทศ ทำให้สามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศและยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันแม้จะถูกกีดกัน

จีนท้าชนสหรัฐฯ เดินหน้าครองอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก ท่ามกลางแรงกดดัน

จีนครองส่วนแบ่งตลาดโลกในเทคโนโลยีหลายด้าน

แผน Made in China 2025 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ทำให้จีนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลก โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด ซึ่งเกิดจากการสนับสนุนของรัฐบาลและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่เพียงแต่เพิ่มศักยภาพในการผลิต แต่ยังช่วยลดต้นทุนได้ ขณะเดียวกัน จีนยังสามารถแข่งขันกับประเทศชั้นนำในเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเทคโนโลยีของจีนได้อีกด้วย  

นโยบายสกัดกั้นอาจส่งผลให้สหรัฐฯ โดดเดี่ยว

ความพยายามของสหรัฐฯ ในการกีดกันจีนอาจย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนเอง เนื่องจากประเทศอื่น ๆ เริ่มหันมาใช้สินค้าของจีนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปที่มีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ซึ่งจีนสามารถผลิตได้ในราคาที่ต่ำกว่า การปิดกั้นจีนอาจทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีทางเลือกจำกัด และทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นหากต้องนำเข้าจากประเทศที่มีต้นทุนสูงกว่า นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นในยุโรปยังเป็นแรงผลักดันให้จีนขยายตลาดและลดความสำคัญของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง 

จีนใช้กำลังการผลิตสูงสุดเพื่อครองอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก

จีนไม่เพียงพึ่งพาแรงงานราคาถูกในการผลิตเท่านั้น แต่ยังมีการลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งทำให้ประเทศมีศักยภาพในการผลิตสูงในระดับต้นทุนที่ต่ำ กลยุทธ์นี้ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการตลาดโลก แต่ยังเสริมความยั่งยืนของเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการลดการพึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์และเปลี่ยนมาเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

การแข่งขันเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์เพื่อความมั่นคง

ทั้งสหรัฐฯ และจีนตระหนักว่าการครอบครองเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยสหรัฐฯ มีการควบคุมการส่งออกในสินค้าที่อาจมีการนำไปใช้เพื่อพัฒนาอาวุธ ขณะที่จีนก็ไม่ลดละความพยายามในการพัฒนาสินค้าที่พึ่งพาตนเอง เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ และ AI เพื่อสร้างความปลอดภัยทางเศรษฐกิจและการป้องกันกรณีถูกจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรหรือเทคโนโลยีที่สำคัญ

การพัฒนาและส่งออกของบริษัทเอกชนจีนยังคงเติบโต

บริษัทเทคโนโลยีของจีน เช่น BYD และ CATL ที่มุ่งเน้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ยังคงขยายธุรกิจไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันของสหรัฐฯ บริษัทเหล่านี้ก็ยังมีการตั้งโรงงานและขยายฐานการผลิตในยุโรป โดย BYD วางแผนเพิ่มการผลิตและขยายฐานการส่งออกไปยังยุโรปและเอเชีย และยังมีการตั้งโรงงานต่างประเทศเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ

การลงทุนของจีนในอุตสาหกรรมไฮเทคยังคงสูงขึ้น

รัฐบาลจีนยังคงสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทคด้วยมาตรการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา AI, เทคโนโลยี 5G, และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาของจีนต่อไป การสนับสนุนเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างระบบการผลิตในประเทศให้แข็งแกร่งและลดความเสี่ยงในการพึ่งพาต่างประเทศ ส่งผลให้จีนสามารถพัฒนาศักยภาพการผลิตที่ทันสมัยได้อย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ในช่วงที่สหรัฐฯ กดดัน

สหรัฐฯ พยายามปิดกั้นเทคโนโลยีชั้นสูงจากจีน

สหรัฐฯ เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงให้กับจีน เช่น เครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ที่จำเป็นสำหรับการผลิตชิปขั้นสูง รวมถึงการควบคุมชิป AI ที่สำคัญต่อการประมวลผลที่ซับซ้อน แม้สิ่งนี้อาจทำให้จีนต้องพัฒนาช้าลงในบางด้าน แต่จีนก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองในระดับ 7 นาโนเมตร ซึ่งทำให้สามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ชั้นสูงจากสหรัฐฯ ได้ในระดับหนึ่ง

จีนมุ่งพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีและเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ล่วงหน้า

เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ จีนจึงเริ่มเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการผลิตชิปและสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการผลิตจะไม่หยุดชะงักแม้จะมีการเพิ่มข้อจำกัดจากสหรัฐฯ การเตรียมพร้อมด้านนี้ไม่เพียงแต่ทำให้จีนพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น แต่ยังลดความเสี่ยงในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อาจถูกกีดกันในอนาคต

ความตึงเครียดในเวทีโลกทำให้บริษัทข้ามชาติเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจ

นโยบายกีดกันการส่งออกและจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ทำให้บริษัทข้ามชาติที่มีห่วงโซ่อุปทานในจีนต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงในการจัดหาสินค้าและอุปกรณ์สำคัญ หลายบริษัทจำเป็นต้องพิจารณาแผนการย้ายฐานการผลิตหรือปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายกีดกัน ซึ่งมีผลต่อการเติบโตและการทำกำไรของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

อ้างอิง: bloomberg

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Bluebik กางแผนธุรกิจปี 2568 ปักธงผู้นำ AI Transformation ในไทย ตั้งเป้าโต 20% ในปีหน้า

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร ประกาศปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่โดยใช้ AI เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ผ่าน...

Responsive image

NIA จับมือ Business Finland ต่ออายุ MOU พัฒนานวัตกรรม & สตาร์ทอัพ ไทย-ฟินแลนด์อีก 5 ปี

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และ Business Finland ได้ต่ออายุบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอีก 5 ปี...

Responsive image

Meta ทุ่ม 3.45 แสนล้านสร้างสายเคเบิลใต้ทะเล ที่มีระยะทางกว่า 40,000 กิโลเมตร

Meta กำลังวางแผนสร้างสายเคเบิลใยแก้วนำแสงใต้ทะเลขนาดใหญ่ที่มีระยะทางกว่า 40,000 กิโลเมตร โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.45 แสนล้านบาท...