DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากจีน เปิดเผยข้อมูลทางการเงินเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า อัตรากำไรตามทฤษฎีของโมเดล AI อาจสูงกว่าต้นทุนถึง 5.45 เท่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวเลขที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม AI ขณะนี้
บริษัทที่ก่อตั้งมาเพียง 20 เดือนและได้รับความสนใจจากทั่วโลก เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า ต้นทุนการประมวลผล (Inferencing) เทียบกับยอดขายในช่วง 24 ชั่วโมงสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้อัตรากำไรสูงถึง 545% อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่ายอดรายได้จริงยังต่ำกว่าตัวเลขนี้มาก เนื่องจากมีเพียงบางส่วนของบริการที่ถูกคิดค่าบริการ อีกทั้งยังมีการให้ส่วนลดพิเศษในช่วงเวลาที่มีการใช้งานต่ำ
การคำนวณอัตรากำไรนี้มาจากการนำต้นทุนเฉพาะของ การให้บริการโมเดล AI (Inference) ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านพลังประมวลผล ไฟฟ้า การจัดเก็บและถ่ายโอนข้อมูล ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และต้นทุนการฝึกโมเดล AI ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการคำนวณนี้
แม้ว่าตัวเลขกำไรดังกล่าวจะเป็นเพียงแนวคิดทางทฤษฎี แต่การเปิดเผยครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ นักลงทุนกำลังตั้งคำถามถึงความสามารถในการทำกำไรของสตาร์ทอัพ AI เนื่องจากบริษัทใหญ่ๆ อย่าง OpenAI และ Anthropic กำลังทดลองโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น
ทาง DeepSeek เปิดเผยว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการให้บริการ AI ได้ คือการ บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น
สิ่งที่ทำให้ DeepSeek แตกต่างจากบริษัท AI รายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง OpenAI คือแนวทางการเปิดเผยข้อมูลและนวัตกรรมด้าน AI ซึ่งขัดแย้งกับโมเดลธุรกิจของคู่แข่งที่มักใช้แนวทางปิด (Proprietary) และไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีของตนเอง
ซึ่งในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา DeepSeek ได้ดำเนินมาตรการที่ไม่ปกติในอุตสาหกรรม AI โดยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาและโครงสร้างการทำงานของโมเดล ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัท AI ส่วนใหญ่มักเก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นความลับ การตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณของ แนวทางธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรม AI ที่อาจเปลี่ยนสมดุลการแข่งขันในอนาคต
อ้างอิง: bloomberg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด