ทำไมดุสิตธานีขาดทุน 5 ปี เปิดเบื้องหลังที่คนไม่รู้ กับแผนยอมเจ็บเพื่อ Reset ธุรกิจ

ทำไมดุสิตธานี ขาดทุน 5 ปี และไม่มีการจ่ายปันผล ?

นี่ไม่ใช่การความผิดพลาด แต่มันคือการเตรียมตัว Take Off

ดุสิตธานี คือ แบรนด์ที่คนไทยรู้จัก และเป็นความภาคภูมิใจบนเวทีโลก วันนี้กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกตั้งคำถามกลางข่าวขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปี และไม่จ่ายเงินปันผลมานาน แต่เบื้องหลังข่าวที่หลายคนเห็นบนหน้าสื่อ มีเรื่องราวการตัดสินใจที่ยากที่สุดขององค์กรซ่อนอยู่

ซึ่งทาง Techsauce ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าว Unlock Value ที่คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO ของกลุ่มดุสิตธานี ออกมาอธิบายอย่างตรงไปตรงมาถึง การขาดทุนนั้นไม่ได้เป็นเพราะบริหารผิด แต่เป็นเพราะการตัดสินใจวางรากฐานเพื่อการเติบโตระยะยาว ที่เธอเปรียบเทียบว่า "เหมือนเครื่องบินที่ต้องแท็กซี่ก่อนเทคออฟ"

ปัญหาที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลข

ย้อนกลับไปในปี 2559 เมื่อคุณศุภจีเข้ารับตำแหน่ง CEO ของดุสิตธานี เธอมองเห็นความเสี่ยงสำคัญของธุรกิจ คือ รายได้กว่า 90% ของกลุ่มยังพึ่งพาโรงแรมที่ตัวเองเป็นเจ้าของ และในนั้น โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่อายุกว่า 50 ปี คือหัวใจหลัก นั่นหมายความว่ารายได้ของทั้งบริษัทผูกอยู่กับสินทรัพย์ไม่กี่แห่ง และอยู่ในรูปแบบธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งมันไม่ยั่งยืนและเสี่ยงมากในระยะยาว

แล้วจะต้องทำอย่างไร ?

คุณศุภจีเปรียบว่า “เรากำลังจะบินขึ้น แต่ถ้าล้อยังเก่า เครื่องยังไม่ได้เซอร์วิส ก็ขึ้นไม่ได้” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ แผน 9 ปี ที่ไม่ใช่แค่กลยุทธ์แต่คือการ ‘แท็กซี่’ เครื่องบินลำใหญ่ให้พร้อมก่อนเทคออฟ คุณศุภจีจึงวางแผนแปลงโฉมดุสิตด้วยกลยุทธ์ 3 แกนสำคัญ ได้แก่

  1. กระจายความเสี่ยง (Balance) ให้รายได้ไม่พึ่งแต่โรงแรมที่เป็นเจ้าของ
  2. ขยายธุรกิจ (Expand) ด้วยโมเดล asset-light คือบริหารโรงแรมโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของเอง
  3. กระจายพอร์ตธุรกิจ (Diversify) ไปยังอาหาร การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์

นั่นทำให้ในช่วง 3 ปีแรกของแผนนี้ บริษัทตั้งใจ “ยอมเจ็บ” เพื่อปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายคือการปลดล็อกมูลค่า และขยายธุรกิจให้ไกลกว่าเดิม

ทำไมดุสิตธานีขาดทุน 5 ปี และไม่มีปันผล ?

การขาดทุนที่ถูกพูดถึงในสื่อนั้นมาจาก การที่บริษัทจึงเลือกทางเดินที่เสี่ยงแต่จำเป็น คือ ‘ปิด’ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เพื่อรีโนเวตใหม่หมด พร้อมพัฒนาโครงการยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า Dusit Central Park ซึ่งไม่ใช่แค่โรงแรมใหม่ แต่รวมถึงคอนโดระดับไฮเอนด์อย่าง Dusit Residences ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานบนที่ดินใจกลางเมือง ทำเลทองฝั่งตรงข้ามสวนลุมพินี

โครงการนี้ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะก่อสร้างเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ บริษัทจึงต้องออกเงินกู้มหาศาล วางแผนการเงินระยะยาว และอดทนกับช่วงเวลาที่ไม่มีรายได้จากสินทรัพย์เดิม

ขณะเดียวกัน ดุสิตก็รู้ดีว่าการอยู่รอดในอนาคตไม่ได้พึ่งพาแค่โรงแรมหรูอีกต่อไป เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มเจน Millennial และเจน Z ที่ชอบประสบการณ์เฉพาะตัว และมองหาแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์ชัดเจน

ดุสิตจึงเริ่มเปิดตัวแบรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้ เช่น อาศัย (ASAI) ที่เน้นการพักผสมนานกับชุมชนท้องถิ่น, Devarana Wellness รีสอร์ตเพื่อสุขภาพ, รวมถึง Dusit Collection ซึ่งเป็นการเข้าไปบริหารโรงแรมเดิมที่ยังคงชื่อแบรนด์เดิมไว้ เพื่อขยายพอร์ตโดยไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด

แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มเดินหน้าได้ไม่นาน โควิด-19 ก็เข้ามาถล่มในปี 2020 พร้อมกับที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ปิดตัวเพื่อสร้างใหม่พอดี ในวันที่ 5 มกราคม 2019 ทำให้การกลับมา “บิน” ของดุสิตต้องดีเลย์ออกไปอีก 3 ปี

ธุรกิจโรงแรมทั่วโลกแทบจะหยุดนิ่ง นักท่องเที่ยวหาย รายได้หาย การฟื้นฟูที่วางไว้ต้องเลื่อนออกไปอีกหลายปี ขณะที่ต้นทุนยังคงเดินต่อ ดุสิตจึงกลายเป็นบริษัทที่ “ต้องขาดทุน” ต่อเนื่องเพื่อประคองวิสัยทัศน์ระยะยาวให้ยังอยู่รอด

วันนี้ดุสิตธานีเริ่มกลับมาทำกำไรหรือยัง ?

ดุสิตธานีเผยผลประกอบการล่าสุด แม้ปี 2567 จะมีรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท แต่ยังคงขาดทุนสุทธิ 237 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากภาระดอกเบี้ยที่สูงถึง 578 ล้านบาท ซึ่งทางคุณศุภจี อธิบายว่า ต้นทุนทางการเงินที่สูงนี้ มาจาก 2 ส่วนหลัก

  • ดอกเบี้ยจากหุ้นกู้และเงินกู้สถาบันการเงิน 281 ล้านบาท
  • ดอกเบี้ยจากหนี้ตามสัญญาเช่า (TFRS 16) อีก 297 ล้านบาท

สาเหตุของต้นทุนเหล่านี้มาจากการระดมทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องช่วงโควิด และเพื่อลงทุนในโครงการใหญ่อย่าง Dusit Central Park ที่มีมูลค่าราว 46,000 ล้านบาท

ซึ่งบริษัทได้วางไทม์ไลน์สำคัญไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของแผนกลยุทธ์ 9 ปี (2559-2568) โดยจะเริ่มทยอยโอนโครงการที่พักอาศัย Dusit Residences และ Dusit Parkside ที่มียอดขายแล้วประมาณ 90% (มูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท) “เมื่อบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการโอนที่พักอาศัย ก็จะนำเงินส่วนนั้นไปชำระหนี้ ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะเริ่มกลับมามีกำไรสุทธิได้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

เป้าหมาย Unlock Value ปี 2568 ของดุสิตธานี

DUSIT ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โตขึ้น 20-25% โดยแบ่งตามธุรกิจ:

  • โรงแรม: โต 20-25% จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และการเปิดให้บริการเต็มปีของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพแห่งใหม่
  • อาหาร: โต 10-15% พร้อมแผนเตรียมนำ “ดุสิต ฟู้ดส์” เข้าตลาดหุ้นในอนาคต
  • การศึกษา: โต 10-12%
  • อสังหาริมทรัพย์: โตมากกว่า 100% (ไม่รวมรายได้จาก Bare Shell)

ประเด็นผู้ถือหุ้น – งบการเงิน – และเครดิตเรตติ้ง

หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของดุสิตธานีเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 และยังไม่ลงมติแต่งตั้งผู้สอบบัญชีประจำปี 2568 ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า บริษัทอาจส่งงบไตรมาสแรกของปี 2568 ไม่ทันกำหนดวันที่ 15 พฤษภาคม และอาจถูกตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “SP” หรือหยุดการซื้อขายหุ้นชั่วคราว

แต่ผู้บริหารของดุสิตก็รีบแก้เกมทันที มีการเข้าหารือตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายรอบ จนสามารถส่งงบการเงินไตรมาส 1 ที่ผ่านการสอบทานเรียบร้อยได้ทันเวลา ทำให้ไม่เกิดปัญหาใด ๆ กับการซื้อขายหุ้น จากนั้น ในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งถัดมาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ผู้ถือหุ้นก็ลงมติอนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเรียบร้อย ทุกอย่างจึงกลับสู่ภาวะปกติ

คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซีอีโอของบริษัท ยืนยันว่างบการเงินของดุสิตจัดทำอย่างถูกต้อง โปร่งใส และผ่านการตรวจสอบทุกขั้นตอนอย่างเข้มงวด จนผู้สอบบัญชีลงนามรับรองแบบไม่มีเงื่อนไข

เรื่องนี้ยังส่งผลบวกต่ออันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของบริษัทด้วย เพราะหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย บริษัท TRIS Rating ก็ประกาศยกเลิกสถานะ “เครดิตพินิจแนวโน้มลบ” ที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ และคงอันดับเครดิตของดุสิตไว้ที่ระดับ “BBB-” (แนวโน้มคงที่) ส่วนหุ้นกู้ด้อยสิทธิยังคงที่ระดับ “BB”

5 ปีแห่งการขาดทุนและการไม่จ่ายปันผลที่เป็นประเด็นคำถามในโลกออนไลน์ วันนี้ดุสิตธานีได้แจงให้เห็นแล้วว่า มันคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเปลี่ยนจากโรงแรมเก่าอายุกว่า 50 ปี ให้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่พร้อมแข่งขันระดับโลกในโลกหลังโควิด

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากดุสิตธานีสามารถ Take Off ได้จริงอย่างที่วางแผนไว้ นี่อาจเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาการ Turnaround ที่น่าจับตามองที่สุดของวงการธุรกิจไทย

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

OpenAI เปิดตัว ChatGPT Agent ตัวช่วยอัจฉริยะ ทำงานแทนผู้ใช้ได้หลากหลาย

OpenAI เปิดตัว ChatGPT Agent ผู้ช่วย AI ตัวใหม่ ทำงานแทนมนุษย์ได้หลากหลาย ตั้งแต่จัดตารางงาน สร้างสไลด์ รันโค้ด ไปจนถึงวิเคราะห์คู่แข่ง พร้อมมาตรการความปลอดภัยขั้นสูง...

Responsive image

MIT เตือน! AI อาจเปลี่ยนโลกให้เหมือนหนัง Mad Max คนรวยยิ่งรวย ทิ้งคนส่วนใหญ่แข่งขันกันเอง

David Autor นักเศรษฐศาสตร์จาก MIT ออกโรงเตือนว่า AI อาจนำไปสู่โลกที่ดูมั่งคั่งในภาพรวม แต่เบื้องหลังคือความเหลื่อมล้ำขั้นรุนแรง คล้ายกับภาพยนตร์ Mad Max: Fury Road ที่ทรัพยากรถูกคว...

Responsive image

อังกฤษเผยผลทดลอง ‘เด็กหลอดแก้วจาก DNA 3 คน’ ทารกเกิดแล้ว 8 ราย ลดความเสี่ยงโรคพันธุกรรม

ในปี 2017 นักวิจัยจากอังกฤษได้เริ่มทดลอง “เด็กหลอดแก้วจาก DNA พ่อแม่ 3 คน” โดยมีเป้าหมายลดความเสี่ยงการถ่ายทอดโรคไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นโรครุนแรงทางพันธุกรรมที่แม่ถ่ายทอดสู่ลูก หลังจ...