เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีรายงานใหม่ที่เผยแพร่โดย S&P Global Market Intelligence ได้ออกมากล่าวถึงการร่วมมือของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีกับกลุ่มธนาคารดิจิทัลและธนาคารหลักในการให้บริการการเงินกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ไปจนถึงธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่มขึ้น สำหรับกลุ่มธนาคารดิจิทัลที่ไม่มีสาขาการร่วมมือกับ บริษัท E-Commerce อาจเป็น “วิธีที่เร็วที่สุดในการเพิ่มการเติบโตของธุรกิจ” เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้เชื่อมโยงกับผู้บริโภคและพ่อค้าจำนวนมาก
การคาดการณ์นี้น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับธนาคารดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยคาดว่ายอดขาย E-commerce ใน 6 ประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้จะเติบโตเป็น 79.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 จาก 41.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019
สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้คือ กลุ่ม E-Commerce หลายเจ้าหันมาสร้างช่องทางบริการด้านการเงินดิจิทัลบนแพลตฟอร์มของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น Shopee แพลตฟอร์มจากเครือ Sea และ Lazada ของเครือ Alibaba ซึ่งทั้งสองแพลตฟอร์มนี้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการเข้าสู่ธุรกิจการเงินเเล้วสามารถดึงดูดผู้ซื้อและพ่อค้าผ่านการชำระเงินแบบดิจิทัลได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีบริการปล่อยสินเชื่อในรูปแบบต่างๆ ที่ตอบโจทย์พ่อค้าและเเม่ค้าออนไลน์ในปัจจุบัน
สิ่งที่ตอกย้ำว่าการเข้ามาในธุรกิจการเงินครั้งนี้ของกลุ่มธุรกิจ E-Commerce ทั้งสองแห่งนี้ เป็นการสร้างความเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่ ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบการชำระเงินออนไลน์และออฟไลน์ที่มีประสิทธิภาพจนได้รับการยอมรับจากผู้ใช้บริการอย่างกว้างขวาง รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการยื่นเรื่องขอใบอนุญาตเงินอิเล็กทรอนิกส์กับสถาบันการเงิน อาทิ บริษัท E-Commerce อย่าง Shopee แพลตฟอร์มจากเครือ Sea ที่เป็นเจ้าของ e-wallet AirPay ได้ยื่นขอใบอนุญาตธนาคารดิจิทัลในประเทศสิงคโปร์ ด้วยใบอนุญาตธนาคารดิจิทัลในมือกลุ่ม Sea สามารถเจาะตลาดการเงินในด้านการปล่อยสินเชื่อมากมายที่เกิดจากธุรกิจ E-Commerce ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มให้บริการด้านการเงินแล้ว
รายงานข่าวกรองการตลาดทั่วโลกของ S&P สะท้อนภาพรวมจากกรณีศึกษาล่าสุดของ PwC ซึ่งพบว่าผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นิยมทำธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารดิจิทัลมากกว่าการไปใช้บริการสถาบันการเงิน
จากการศึกษาเชิงลึกของลูกค้าธนาคารดิจิทัลของ PwC ในสิงคโปร์พบว่า 66% ของลูกค้าชาวสิงคโปร์“ สนใจ” หรือ“ สนใจมาก” ในการมีธนาคารดิจิทัล จากผลสำรวจพบว่า รูปแบบการใช้งานบริการด้านการเงินจากธนาคารดิจิทัลส่วนใหญ่ที่สนใจไม่ได้เกี่ยวกับ E-Commerce อย่างเดียวแต่รวมไปถึงในมุมของการศึกษา และการใช้งานที่สะดวก ปลอดภัย รวมถึงบริการด้านดารเงินที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เช่น ด้านสุขภาพ ด้านการท่องเที่ยว
ซึ่งความคิดเห็นในด้านที่เกี่ยวกับแพลตฟอร์ม E-Commerce ลูกค้าธนาคารดิจิทัลได้พูดถึงสิทธิประโยชน์เสริมจากการใช้บริการผ่านธนาคารดิจิทัล อาทิ การซื้อตั๋วเครื่องบิน / รถบัส / รถไฟ ถึง 54% และการให้คำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพและความเจ็บป่วย 54% ตามด้วยคูปองสำหรับร้านค้าและร้านอาหาร 48% ช้อปปิ้งออนไลน์ 45% และการนัดหมายจากโรงพยาบาล / แพทย์ 45%
นอกจากนี้การสำรวจยังพบว่าแม้ว่าชาวสิงคโปร์มีความสนใจโดยรวมในการให้บริการธนาคารดิจิทัล แต่ก็ยังคงระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยทางการเงิน 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาจะพิจารณาเปิดบัญชีธนาคารกับธนาคารดิจิทัลที่น่าเชื่อถือและได้รับความนิยม ถึงแม้ความต้องการธนาคารดิจิทัลจะมีมากขึ้นแต่มีเพียง 33% เท่านั้นที่จะใช้บริการธนาคารดิจิทัลเป็นช่องทางหลักด้านการเงิน โดยส่วนใหญ่ 67% ระบุว่าพวกเขายังคงเลือกใช้บริการด้านการเงินของธนาคารหลักเป็นส่วนใหญ่
ถึงแม้จะมีลูกค้าจำนวนมากกำลังเผชิญกับประสิทธิภาพการบริการที่ต้องใช้เวลารอคิวนานไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ของธนาคารหลัก 42%, เวลารอ Call Center ที่นานเมื่อต้องการความช่วยเหลือ 23% และการไร้ความสามารถในการทำงานธนาคารออนไลน์ 13%
แม้ว่าลูกค้าธนาคารในสิงคโปร์จะสะดวกสบายกับช่องทางการบริการด้านการเงินดิจิทัลที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองในการดำเนินงานแบบวันต่อวัน แต่พวกเขายังคงต้องการบริการจากเจ้าหน้าที่ทางการเงินจากธนาคารหลักกรณีฉุกเฉิน 64% การจัดการความมั่งคั่ง 63% เจ้าหน้าที่รายงานผล 58% และประกัน 56%
การค้นพบเหล่านี้หมายความว่าในอนาคตธนาคารดิจิทัลและผู้ครอบครองตลาดจะต้องค้นหาทางเลือกของบริการด้านการเงินที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการซึ่งอาจต้องรวมเอากลยุทธ์ธุรกิจและข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าเข้ากับนวัตกรรมและความเสี่ยงรวมถึงการควบคุมที่เหมาะสมเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก fintechnews.sg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด