Ethereum Towers ชุมชนเสมือนจริงขนาดใหญ่ที่ถูกก่อต้ังขึ้นใน Ethereum World’s Metaverse โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นพื้นที่ดิจิทัลโดยชูจุดเด่นความเป็นชุมชน (Community-Centric) และเปิดพื้นที่สำหรับคอมมูนิตี้ที่หลากหลาย ประกอบด้วย อาคารใหญ่ 2 อาคาร แต่ละอาคารมีทั้ง 101 ชั้น และ อพาร์ทเมนท์จำนวนกว่า 4,388 ยูนิต รายรอบไปด้วยพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรมส่วนรวม (Multi-Use Enviroment) โดยจะเปิดให้นักลงทุนได้ซื้อและเป็นเจ้าของยูนิตต่าง ๆ พร้อมรับ NFT พิเศษโดยเฉพาะเพื่อเข้าถึงสิทธิประโยชน์และเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ในราคาเริ่มต้นยูนิตละ 9 ล้านบาท
ในช่วงที่ผ่านมากระแสการเป็นเจ้าของ Digital Assets เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยเฉพาะ Metaverse และ NFT ความสนใจนี้เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 เราจะเห็นองค์กรเทคโนโลยี แบรนด์ระดับโลก บุคคลที่มีชื่อเสียง ไปจนถึงระดับภาครัฐ ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีนี้ ข้อมูลจาก Earthweb ระบุว่า ตลาด Metaverse ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นและคาดว่าจะมีมูลค่า 280 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 แสดงถึงการเพิ่มขึ้น 508% จากมูลค่าตลาดในปี 2021 ประมาณ 46 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงตลาด AR/VR ทั่วโลกคาดว่าจะแตะ 209.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์การครอบครองพื้นที่หรือไอเท็มต่าง ๆ ในโลกเสมือนบนระบบบล็อกเชนภายในคอมมูนิตี้เกมเมอร์ เช่น The Sandbox , Decentraland ซึ่งมีมูลค่าสูงมากและเพิ่มขึ้นหากเทียบกับอสังหาริมทรัพย์ในโลกจริง โดยพื้นที่โลกเสมือนที่มีความนิยมมากที่สุดสองอันดับตามมูลค่าตลาดในปัจจุบัน คือ Decentraland ที่ 5.6 พันล้านดอลลาร์และ The Sandbox ที่ 4.5 พันล้านดอลลาร์ นำมาสู่การลงทุนในพื้นที่โลกเสมือน สำหรับผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ให้ความสนใจในการสะสมที่ดินนี้ในลักษณะเดียวกับที่พวกเขาทำกับอสังหาริมทรัพย์แบบดั้งเดิม เกิดความร่วมมือในการสร้างและพัฒนาพื้นที่โลกเสมือนบนหลายหลายแพลตฟอร์มมากขึ้น
Whitepaper ของ Ethereum Towers ได้ระบุถึงความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอ Virtual Experience ที่สอดคล้องกับ Real-Life Social Experiences ภายในระบบนิเวศ Ethereum World’s Metaverse ที่จะเปิดพื้นที่ในการเข้าสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับพื้นที่ดิจิทัลมากขึ้น โดยโครงการในส่วนอพาร์ทเมนต์มีการแบ่งแบบห้องเป็น 3 ประเภท ตั้งแต่ระดับ Standard ขนาด 180 ตร.ม ซึ่งได้เริ่มต้นขายเป็นที่เรียบร้อยในราคาเริ่มต้นที่ 9 ล้านบาท โดยราคาในปัจจุบัน ณ วันที่ 17/05/2022 อยู่ที่ 2.9 ล้านบาท (41.4 ETH / 84,985.5 USD) ระดับ Luxery ขนาด 462.2 ตร.ม อยู่ที่ราคา 71.5 ล้านบาท (1,005.28 ETH / 2,063,628.7 USD) และระดับ Penthouse ขนาด 2 ชั้น ในราคา 2.44 พันล้านบาท (34,300 ETH / 70,410,697 USD) โดยผู้อยู่อาศัยสามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ และโต้ตอบกับผู้อยู่อาศัยคนอื่นได้เหมือนในชีวิตจริงผ่านอินเทอร์เฟซจาก VR Headset
ทีมพัฒนา Ethereum Towers เห็นถึงข้อจำกัดของการสร้างพื้นที่ Metaverse ในรูปแบบเดิมที่ส่งผลต่อการเข้าถึงอย่างยากลำบากและทำให้วิถีชีวิตในโลกเสมือนไม่ได้เป็นที่ยอมรับสำหรับคนทั่วไปที่ต้องเข้าไปใช้งาน คือ การที่ผู้สร้างแบบจำลองโลกเสมือนที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้มีพื้นที่จำนวนมากที่เปิดให้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าไปจับจองพื้นที่เพียงเพื่อทำกิจกรรมทางธุรกิจไม่ได้ตอบโจทย์พฤติกรรมหรือสิ่งที่เป็นที่ต้องการผู้ใช้ทั่วไปอย่างแท้จริง อีกทั้งที่ดินมากมายไม่มีแผนการในการเชื่อมต่อผู้ใช้งานที่ชัดเจนนำไปสู่การขาดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน โดยทีมพัฒนาเรียกการขยายพัฒนาแนวทางแบบเดิมว่า Horizontal Model ที่มีการขยายไปในแนวราบแต่ไม่ได้เจาะจงไปที่การพัฒนากิจกรรมที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากข้อจำกัดเหล่านี้ ทีมพัฒนาจึงวางแผนที่จะพัฒนาพื้นที่แบบ Niche Vertical Living ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
Ethereum Towers จะมีผู้คนเป็นหัวใจของทุกสิ่ง โดยสร้างขึ้นจาก 3 แนวคิดหลัก คือ ความเสมอภาค (Equality) ความหลากหลาย (Diversity) และความเท่าเทียมที่ครอบคลุมทั่วถึงกัน (Inclusivity) ในการพัฒนาเครือข่ายความสัมพันธ์ผ่านพื้นที่ทางสังคมภายในโลกเสมือน มีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่จะส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานที่หลากหลายที่มีความรู้ ประสบการณ์ และแรงบันดาลใจที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นเวทีสำหรับการแบ่งปัน และเป็นแหล่งเรียนรู้ การเป็นศูนย์กลางของกลุ่มต่าง ๆ ภายใน Digital Landscape ซึ่งจะมีพื้นที่อยู่ตามชั้นต่าง ๆ บนอาคารราวกับเป็นออฟฟิศจริง เช่น Space Punk Club, Creative Specialist , World of Women , BAYC/MAYC Community , Crypto Dads Community , vEmpire DDAO เป็นต้น โดยจะมีเครื่องมือเพื่อรองรับให้เกิดการพัฒนาพื้นที่สำหรับกลุ่มต่าง ๆ โดยมีความช่วยเหลือจากนักพัฒนาชั้นนำของแพลตฟอร์ม และสามารถกำหนดความเป็นส่วนตัวของพื้นที่ตนเองจากสาธารณะได้อีกด้วย
ผู้อยู่อาศัยจะได้เจอกับฟีเจอร์และเครื่องมือสำหรับออกแบบ ตกแต่งอพาร์ทเมนท์ของตน ครอบครองสิ่งของและเฟอร์นิเจอร์เสมือนสิ่งของในชีวิตจริงในโหมด (Apartment Customization) อย่างมีอิสระเต็มที่ สามารถปรับแต่งเลย์เอาต์ เปลี่ยนพื้นผิว สีของผนัง พื้นและเพดานภายในพื้นที่อพาร์ตเมนต์ได้เพื่อสร้างเอกลักษณ์ซึ่งสะท้อนรสนิยมและสไตล์ของผู้อยู่อาศัย โดยที่ผู้อาศัยคนอื่น ๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมชมในยูนิตและส่วนอื่น ๆ ในอพาร์ทเมนต์ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถออกแบบตกแต่งพื้นที่สาธารณะในคอมมูนิตี้ตน เช่น คาเฟ่ บาร์ ผับ สวนสาธารณะ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับการรวมตัว ซึ่งในส่วนนี้จะตอบโจทย์ในส่วนการแฮงเอาท์ที่ไม่ต้องออกจากบ้าน และเป็นที่พบปะกันของครอบครัวและเพื่อนหรือเป็นพื้นที่สร้างมิตรภาพใหม่ ๆ รวมถึงการจัดคลับเฮ้าส์หรือห้องประชุม และที่สำคัญผู้อาศัยสามารถสร้าง ออกแบบ ตกแต่งพื้นที่ที่ไม่มีการใช้งานให้เป็นห้องแสดงงานศิลปะในรูปแบบ NFT และเชิญผู้อาศัยคนอื่น ๆ เข้ามาเยี่ยมชมและซื้อขายผลงาน
สิ่งที่โดดเด่นซึ่งทำให้ Ethereum Towers ต่างจาก Assets ที่อยู่ในพื้นที่โลกเสมือนอื่น ๆ คือ การออกแบบระบบนิเวศ อาคาร พื้นที่โดยรอบที่ล้ำยุคและหรูหราราวกับในภาพยนตร์ไซไฟ (Apirational & Luxurious) นอกจากนี้อีกหนึ่ง คือ Ethereum Worlds Token ($TWR) Utility Token ที่จะใช้ในการภายในระบบนิเวศ โทเค็นนี้จะมอบให้เป็นรางวัลแก่ผู้อยู่อาศัยที่มีส่วนร่วมกับคอมมูนิตี้ผ่านกิจกรรมตามรูปแบบการจัดสรรแบบ Engage-2-Earn (E2E)
Ethereum Blockchain บล็อกเชนอีเทอเรียมจะรองรับระบบนิเวศ ความเป็นเจ้าโทเค็นของผู้อาศัยที่ใช้สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนได้โดยไม่มีข้อจำกัด โดยจะมีบล็อกเชนโปรโตคอลที่แตกต่างในแต่ละส่วนบนระบบนิเวศอีเทอเรียม อาทิเช่น ER-721 สำหรับการเป็นเจ้าของทรัพย์สินอพาร์ทเมนต์ , ERC-20 สำหรับสกุลเงินในโลกจริง , L2 Protocol สำหรับตลาดซื้อขายสินค้า มีการใช้โซลูชันจาก Unity Engine ที่จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างสภาพแวดล้อม 3 มิติโต้ตอบแบบเรียลไทม์ได้ เช่น เทคโนโลยี Unity’s XR Interaction Toolkit รองรับนักพัฒนาในการทำงานร่วมกันผ่าน VR นอกจากนี้ยังมี ระบบ Workflow Universal Rendering Pipeline (URP) ที่เปิดให้สามารถปรับแก้กราฟิกให้เหมาะสมผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ตั้งแต่มือถือไปจนถึงคอมพิวเตอร์พีซีและคอนโซลระดับไฮเอนด์ นอกจากนี้ยังมีซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์สำคัญ ๆ เช่น Gnosis Multi-Signature Wallets หนึ่งในแพลตฟอร์มการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลที่รองรับการใช้กระเป๋าเงินแบบ Multi-Signature Wallets , แพลตฟอร์ม PlayCanvas Web-First Engine , ซอฟต์แวร์ Decubate Assured Token Vesting (ATV)
การเปิดตัวครั้งแรกจะใช้ API ของ OpenSea สำหรับการเข้าจองพื้นที่เพื่อเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ โดยทีมงานกำลังวางแผนการปรับปรุง Interactive Web Application เพื่อการแนะนำคุณลักษณะในการเลือกชมอพาร์ทเมนต์ที่ละเอียดมากขึ้นในอนาคต และมีแผนพัฒนา Beta Version และเปิดทดสอบ UGC Platform และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่สมบูรณ์มากขึ้นในปี 2023 ซึ่งมีการเปิดเผยว่า ห้องส่วนใหญ่ของอาคารแรกถูกขายหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่มา
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด