แม้จะอยู่ภายใต้หน้ากากอนามัยแต่ AI จดจำใบหน้าของจีนก็พัฒนาภายใต้สถานการณ์การเเพร่ระบาด COVID-19 จนสามารถระบุและยืนยันข้อมูลบุคคลได้อย่างเเม่นยำถึง 95%
เมื่อทีมนักพัฒนาเทคโนโลยีของจีนได้รวมตัวกันฝ่าวิกฤตการเเพร่ระบาดที่ก่อตัวขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาด้วย Data และ AI แต่การพัฒนานี้กลับสามารถต่อยอดสู่เครื่องมือทางการเเพทย์ที่สามารถตรวจอุณภูมิหาผู้ติดเชื้อพร้อมกับการยืนยันตัวตนผ่าน Facial recognition ด้วยเช่นกัน
ทีมงานผู้พัฒนาโครงการนี้ทั้ง 20 คนใช้ฐานข้อมูลจากตัวอย่างที่มีประมาณ 6 ล้านใบหน้าและฐานข้อมูลส่วนย่อยนอกเหนือจากฐานข้อมูลหลักของรัฐที่ถูกปกปิดไว้ เพื่อนำมาพัฒนาเทคโนโลยีจดจำใบหน้า หรือ Facial Recognition
บริษัทในจีน กล่าวว่า นี่เป็นครั้งเเรกที่จีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าที่สามารถยืนยันตัวตนของผู้คนได้ถึงเเม้จะสวมหน้ากากบนใบหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสในสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีครั้งนี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและในทางกลับกันข้อมูลจากระบบมีส่วนช่วยในการนำมาใช้ต่อสู่กับวิกฤตการเเพร่ระบาดของไวรัสในครั้งนี้ได้ด้วยเช่นกัน
ประเทศจีนถือว่าเป็นประเทศที่มีการใช้ระบบตรวจจับและคัดกรองคนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดโดยมีการลงทุนด้านการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในอันดับต้นๆ ของโลกรวมถึงเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า
แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งปรากฏขึ้นในเขตหวู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อปลายปีที่แล้วส่งผลให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพื่อป้องกันไวรัส ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่รัฐบาลใช้ยืนยันประวัติบุคคล รวมถึงการยืนยันตัวตนในสถานการณ์ต่างๆ กลายเป็นปัญหาสำคัญสำหรับการเฝ้าระวังเพราะเทคโนโลยีเดิมยังไม่สามารถจดจำหรือยืนยันใบหน้าของมนุษย์ผ่านหน้ากากอนามัยได้
ตอนนี้ Hanwang Technology กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตอนนี้เป็นเเรงกระตุ้นสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถจดจำใบหน้าได้แม้ในขณะที่สวมหน้ากากได้สำเร็จ
Hanwang Huang Lei รองประธานกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า “นอกจากการเทคโนโลยีนี้สามารถจดจำใบหน้าได้เเล้วยังสามารถนำมาเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิมันสามารถวัดอุณหภูมิของร่างกายในขณะที่ระบุชื่อของบุคคลและจากนั้นระบบจะประมวลผลผลลัพธ์แจ้งเตือนหากตรวจจับอุณหภูมิได้มากกว่า 38 องศาพร้อมประวัติพื้นฐานของบุคคลนั้นและส่งข้อมูลเจ้าหน้าที่ทันที”
บริษัท ในกรุงปักกิ่งกล่าวว่าทีมงาน 20 คนใช้เทคโนโลยีหลักที่พัฒนาขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นฐานข้อมูลตัวอย่างของใบหน้าที่ประมาณ 6 ล้านใบหน้าและฐานข้อมูลอื่นๆ นอกเหนือจากฐานข้อมูลหลักของรัฐที่ถูกปกปิด มาใช้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้
ถึงเเม้สถานการณ์การเเพร่ระบาดจะเป็นอุปสรรคใหญ่ของนักพัฒนาในการออกมาทำงานร่วมกันเเต่ถึงอย่างไรเมื่อมีโอกาสทีมนักพัฒนาได้ค่อย ๆ รวมตัวกันพัฒนาเทคโนโลยีจดจำใบหน้านี้ด้วยฐานข้อมูลเดิมที่มีในช่วงมกราคมที่ผ่านมา
ซึ่งปัจจุบันระบบใหม่นี้มีความสามารถที่พูดได้ว่า พลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างน่าสนใจ เพราะเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงเเต่ยืนยันตัวตนผ่านหน้ากากอนามัยได้เเล้วยังสามารถวัดอุณภูมิร่างกายเพื่อตรวจคัดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ได้ในเวลาอันสั้น จากสถิติ 30 คนต่อวินาทีและมีความเเม่นยำถึง 95%
ซึ่งปัจจุบันกระทรวงความมั่นคงสาธารณะและตำรวจในประเทศจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ในการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการตรวจจับภาพประชาชนในเเต่ละเมืองเพื่อติดตามข้อมูลประชากรณ์พื้นฐาน รวมถึงประวัติอื่นๆ ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของส่วนรวม เช่น ระบบสามารถตรวจจับผู้ต้องสงสัยในอาชญากรรมผู้ก่อการร้ายเพราะสามารถตรวจับได้ถึงเเม้จะใส่หน้ากากและเเว่นดำ
ถึงเเม้ในโลกโซเชียลจะมีกระแสวิภาควิจารณ์ถึงสิทธิส่วนบุคคลต่อรัฐบาลที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เเต่เมื่อตกอยู่ในสถานการเเพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ก็ทำให้เทคโนโลยีนี้ถูกยอมรับในกลุ่มประชาชนมากขึ้นเพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดอัตราความเสี่ยงของผู้ติดเชื้อได้
Hanwang กล่าวว่า เขาคาดหวังว่าจะได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากขึ้นเนื่องจากไวรัสแพร่กระจายไปทั่วโลกและผู้คนจำนวนมากสวมหน้ากากอนามัยเทคโนโลยีนี้ไม่เพียง แต่เป็นประโยชน์ต่อคนจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเมื่อมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ทั่วโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก scmp.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด