ทุกปี Forbes Asia จะเลือกบริษัทเล็กและสตาร์ทอัพที่น่าจับตาทั่วเอเชียแปซิฟิก และปีนี้ก็ก้าวเข้าสู่ครั้งที่ 5 แล้ว รายชื่อ 100 To Watch ไม่ได้เป็นแค่ลิสต์ธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนว่าสตาร์ทอัพในภูมิภาคนี้กำลังขยับตัวไปทางไหน และเทคโนโลยีใหม่ๆ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไป
บทความนี้ Techsauce จะพาไปดูพร้อมกันว่า 4 สัญญาณสำคัญที่ Forbes Asia ชี้ให้เห็นมีอะไรบ้าง และมันกำลังบอกอนาคตของสตาร์ทอัพเอเชียแปซิฟิกไว้อย่างไร

Forbes Asia เริ่มจัดทำรายชื่อนี้ขึ้นเพื่อตอบคำถามว่า ใครคือสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตและอาจกลายเป็นผู้นำในอนาคต โดยเกณฑ์การคัดเลือกเข้มข้นกว่าที่หลายคนคิด
ที่สำคัญคือ Forbes ไม่ได้คัดเลือกเพียงเพราะ มีเงินทุนเยอะ แต่ดูปัจจัยหลายด้าน เช่น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม โมเดลธุรกิจที่เข้ากับตลาด ความสม่ำเสมอในการเติบโต และศักยภาพในการดึงดูดทุนต่อเนื่อง
โดยรายชื่อ Forbes 100 To Watch ที่ประกาศออกมานี้ มีสตาร์ทอัพจากประเทศไทยติดอยู่ในโผด้วย ได้แก่

สตาร์ทอัพในกลุ่ม Energy & Green Tech ที่กำลังเข้ามาตอบโจทย์การเดินทางในเมือง ด้วยการผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ Sleek EV ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ขายรถ แต่ยังสร้าง Ecosystem รองรับด้วยเครือข่ายสถานีชาร์จเร็วทั่วประเทศไทย ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้จริง การได้รับเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่อย่าง กรุงศรี ฟินโนเวต, Orzon Ventures และ Thai Summit Group ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของสตาร์ทอัพรายนี้

อีกหนึ่งสตาร์ทอัพสาย Biotechnology & Healthcare ที่น่าจับตา UniFAHS เป็นบริษัทเชี่ยวชาญด้าน Phage Technology ซึ่งคือการใช้ไวรัสชนิดที่จำเพาะเจาะจงเพื่อเข้าไปกำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในอาหาร เช่น Salmonella และ E. coli โดยนำเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สารเสริมในอาหารสัตว์สำหรับกลุ่มปศุสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของโลกที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น
สตาร์ทอัพไทยทั้ง 2 ราย ทำให้เราเห็นว่านวัตกรรมจากประเทศไทยก็มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาชาติ คำถามสำคัญคือ แล้วภาพรวมของสมรภูมิสตาร์ทอัพในเอเชียแปซิฟิกกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด และโอกาสอยู่ตรงไหน?
บทวิเคราะห์ของ Forbes Asia ได้สรุป 4 สัญญาณสำคัญ ที่จะช่วยให้เราเห็นอนาคตของวงการสตาร์ทอัพในภูมิภาคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ปี 2024 เป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับวงการ VC ในเอเชียแปซิฟิก การลงทุนในสตาร์ทอัพลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี แต่ปีนี้กลับเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะในสามประเทศที่กำลังดึงดูดเงินทุนมหาศาล ได้แก่ อินเดีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งสอดคล้องกับการปรากฏตัวของบริษัทจากประเทศเหล่านี้ในลิสต์ Forbes Asia 100 To Watch ปีล่าสุด
สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าตลาดยังคงมองเห็น Potential ของภูมิภาค แม้จะผ่านภาวะเศรษฐกิจผันผวน แต่ทุนก็ยังเลือกที่จะไหลเข้าสู่เอเชีย โดยเฉพาะในสาขาที่มีศักยภาพสูงและตอบโจทย์อนาคต
รายชื่อปีนี้ครอบคลุม 16 ประเทศและดินแดน อินเดียยังครองอันดับหนึ่งมีจำนวนบริษัทที่ติดโผมากที่สุดในปีนี้ด้วยตัวเลข 18 บริษัท ตามมาด้วยสิงคโปร์และญี่ปุ่นที่มาแรงพอ ๆ กัน (14 บริษัท เท่ากัน) ส่วนจีนยังคงมีอยู่ที่ 9 บริษัท ขณะที่อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ต่างก็ติดลิสต์ประเทศละ 8 บริษัท และออสเตรเลียก็ตามมาติดๆ ที่ 7 บริษัท
สิ่งที่เห็นชัดคือ สมรภูมิสตาร์ทอัพไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนหรืออินเดียอีกต่อไป แต่กำลังขยายออกสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และแต่ละแห่งต่างมีจุดแข็งของตนเอง เช่น สิงคโปร์ที่เด่นเรื่องฟินเทคและกรีนเทค ญี่ปุ่นที่เน้นหุ่นยนต์และ Deep Tech หรืออินโดนีเซียที่มีตลาดผู้บริโภคมหาศาล
หากมองตามอุตสาหกรรม ปีนี้มี 2 กลุ่มที่น่าสนใจมากที่สุดคือ Biotech-Healthcare (18 บริษัท) และ Enterprise Technology–Robotics (16 บริษัท) ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนขับเคลื่อนด้วย Deep Tech และ AI ตัวอย่างเช่น
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าเอเชียไม่ได้มุ่งแค่สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีกแล้ว แต่กำลังหันเข้าสู่การแก้ปัญหาที่ลึกและซับซ้อนกว่าเดิม
บริษัททั้ง 100 แห่งในลิสต์นี้ ระดมทุนรวมกันเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้แต่ละบริษัทจะยังมีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการระดมทุนสะสมไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ตามเกณฑ์ Forbes) แต่ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนทั่วโลก
ที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนยังสวนทางกับปี 2024 ที่ VC ในภูมิภาคเคยตกลงไปถึงจุดต่ำสุดในรอบสิบปี แสดงว่าตลาดกำลังฟื้น และนักลงทุนกลับมาเชื่อมั่นในศักยภาพของเอเชียอีกครั้ง
แม้ปีนี้จะยังไม่มีชื่อบริษัทจากไทยติดอยู่ในลิสต์ Forbes Asia 100 To Watch แต่สิ่งที่รายงานนี้สะท้อนคือบทเรียนสำคัญสำหรับเราอย่างยิ่ง เทรนด์ Deep Tech และ Biotech กำลังมาแรงทั่วภูมิภาค ไทยเองแม้จะยังไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่ก็มีจุดแข็งที่สามารถต่อยอดได้ ทั้งในด้านระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและการเป็นผู้นำใน Food Tech ที่เชื่อมโยงกับโจทย์ใหญ่ของความมั่นคงทางอาหารโลก
ในขณะเดียวกัน Green Tech กำลังถูกมองว่าเป็นเส้นทางอนาคต ประเทศที่ผลักดันเรื่อง EV พลังงานทดแทน หรือเทคโนโลยีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ย่อมมีโอกาสดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกมากขึ้น
อีกประเด็นที่เห็นชัดคือ บทเรียนจากอินเดีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่ยืนยันตรงกันว่า นโยบายคือหัวใจสำคัญ ประเทศที่มีการสนับสนุนสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จะสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงและกลายเป็นแม่เหล็กดูดทุนในที่สุด
และที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ AI กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของโลกธุรกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด หากไม่บูรณาการ AI เข้ามาในห่วงโซ่ย่อมเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะวันนี้ AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่คือ “ตัวเร่ง” ที่กำหนดความเร็วและทิศทางของการแข่งขัน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด