เปิดลิสต์ Forbes Asia 100 To Watch ครั้งที่ 5 ถอดรหัส 4 สัญญาณใหม่ของสตาร์ทอัพเอเชีย

ทุกปี Forbes Asia จะเลือกบริษัทเล็กและสตาร์ทอัพที่น่าจับตาทั่วเอเชียแปซิฟิก และปีนี้ก็ก้าวเข้าสู่ครั้งที่ 5 แล้ว รายชื่อ 100 To Watch ไม่ได้เป็นแค่ลิสต์ธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนว่าสตาร์ทอัพในภูมิภาคนี้กำลังขยับตัวไปทางไหน และเทคโนโลยีใหม่ๆ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไป

บทความนี้ Techsauce จะพาไปดูพร้อมกันว่า 4 สัญญาณสำคัญที่ Forbes Asia ชี้ให้เห็นมีอะไรบ้าง และมันกำลังบอกอนาคตของสตาร์ทอัพเอเชียแปซิฟิกไว้อย่างไร

100 To Watch คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ ?

Forbes Asia เริ่มจัดทำรายชื่อนี้ขึ้นเพื่อตอบคำถามว่า ใครคือสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตและอาจกลายเป็นผู้นำในอนาคต โดยเกณฑ์การคัดเลือกเข้มข้นกว่าที่หลายคนคิด

  • บริษัทต้องมีสำนักงานใหญ่ในเอเชียแปซิฟิก
  • เป็นกิจการเอกชนเพื่อกำไร ไม่ใช่ NGO หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร
  • มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
  • การระดมทุนสะสมไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ (นับถึงกลางเดือนสิงหาคม)

ที่สำคัญคือ Forbes ไม่ได้คัดเลือกเพียงเพราะ มีเงินทุนเยอะ แต่ดูปัจจัยหลายด้าน เช่น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม โมเดลธุรกิจที่เข้ากับตลาด ความสม่ำเสมอในการเติบโต และศักยภาพในการดึงดูดทุนต่อเนื่อง

โดยรายชื่อ Forbes 100 To Watch ที่ประกาศออกมานี้ มีสตาร์ทอัพจากประเทศไทยติดอยู่ในโผด้วย ได้แก่

1.Sleek EV

สตาร์ทอัพในกลุ่ม Energy & Green Tech ที่กำลังเข้ามาตอบโจทย์การเดินทางในเมือง ด้วยการผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ Sleek EV ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ขายรถ แต่ยังสร้าง Ecosystem รองรับด้วยเครือข่ายสถานีชาร์จเร็วทั่วประเทศไทย ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้จริง การได้รับเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่อย่าง กรุงศรี ฟินโนเวต, Orzon Ventures และ Thai Summit Group ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของสตาร์ทอัพรายนี้

2.UniFAHS

อีกหนึ่งสตาร์ทอัพสาย Biotechnology & Healthcare ที่น่าจับตา UniFAHS เป็นบริษัทเชี่ยวชาญด้าน Phage Technology ซึ่งคือการใช้ไวรัสชนิดที่จำเพาะเจาะจงเพื่อเข้าไปกำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในอาหาร เช่น Salmonella และ E. coli โดยนำเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สารเสริมในอาหารสัตว์สำหรับกลุ่มปศุสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของโลกที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น

สตาร์ทอัพไทยทั้ง 2 ราย ทำให้เราเห็นว่านวัตกรรมจากประเทศไทยก็มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาชาติ คำถามสำคัญคือ แล้วภาพรวมของสมรภูมิสตาร์ทอัพในเอเชียแปซิฟิกกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด และโอกาสอยู่ตรงไหน?

บทวิเคราะห์ของ Forbes Asia ได้สรุป 4 สัญญาณสำคัญ ที่จะช่วยให้เราเห็นอนาคตของวงการสตาร์ทอัพในภูมิภาคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สัญญาณที่ 1: เงินทุน VC จากจุดต่ำสุดสู่สัญญาณฟื้นตัว

ปี 2024 เป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับวงการ VC ในเอเชียแปซิฟิก การลงทุนในสตาร์ทอัพลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี แต่ปีนี้กลับเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะในสามประเทศที่กำลังดึงดูดเงินทุนมหาศาล ได้แก่ อินเดีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งสอดคล้องกับการปรากฏตัวของบริษัทจากประเทศเหล่านี้ในลิสต์ Forbes Asia 100 To Watch ปีล่าสุด

สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าตลาดยังคงมองเห็น Potential ของภูมิภาค แม้จะผ่านภาวะเศรษฐกิจผันผวน แต่ทุนก็ยังเลือกที่จะไหลเข้าสู่เอเชีย โดยเฉพาะในสาขาที่มีศักยภาพสูงและตอบโจทย์อนาคต

สัญญาณที่ 2: อินเดียยังคงนำ แต่สิงคโปร์–ญี่ปุ่นไล่ติด

รายชื่อปีนี้ครอบคลุม 16 ประเทศและดินแดน อินเดียยังครองอันดับหนึ่งมีจำนวนบริษัทที่ติดโผมากที่สุดในปีนี้ด้วยตัวเลข 18 บริษัท ตามมาด้วยสิงคโปร์และญี่ปุ่นที่มาแรงพอ ๆ กัน (14 บริษัท เท่ากัน) ส่วนจีนยังคงมีอยู่ที่ 9 บริษัท ขณะที่อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ต่างก็ติดลิสต์ประเทศละ 8 บริษัท และออสเตรเลียก็ตามมาติดๆ ที่ 7 บริษัท

สิ่งที่เห็นชัดคือ สมรภูมิสตาร์ทอัพไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนหรืออินเดียอีกต่อไป แต่กำลังขยายออกสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และแต่ละแห่งต่างมีจุดแข็งของตนเอง เช่น สิงคโปร์ที่เด่นเรื่องฟินเทคและกรีนเทค ญี่ปุ่นที่เน้นหุ่นยนต์และ Deep Tech หรืออินโดนีเซียที่มีตลาดผู้บริโภคมหาศาล

สัญญาณที่ 3: Deep Tech และ AI กำลังเป็นพลังใหม่ของสตาร์ทอัพเอเชีย

หากมองตามอุตสาหกรรม ปีนี้มี 2 กลุ่มที่น่าสนใจมากที่สุดคือ Biotech-Healthcare (18 บริษัท) และ Enterprise Technology–Robotics (16 บริษัท) ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนขับเคลื่อนด้วย Deep Tech และ AI ตัวอย่างเช่น

  • ด้าน Biotech: พัฒนา Gene-editing therapies เพื่อรักษามะเร็งและโรคหายาก
  • ด้าน Green Tech: สร้างวัสดุแอโนดใหม่ สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รองรับโลกของยานยนต์ไฟฟ้า
  • ด้าน Space Tech: พัฒนาระบบขับเคลื่อนยานอวกาศ (Propulsion Systems) ที่เริ่มเข้าสู่เชิงพาณิชย์จริง

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าเอเชียไม่ได้มุ่งแค่สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีกแล้ว แต่กำลังหันเข้าสู่การแก้ปัญหาที่ลึกและซับซ้อนกว่าเดิม

สัญญาณที่ 4: เงินทุนสะสมเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

บริษัททั้ง 100 แห่งในลิสต์นี้ ระดมทุนรวมกันเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้แต่ละบริษัทจะยังมีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการระดมทุนสะสมไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ตามเกณฑ์ Forbes) แต่ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนทั่วโลก

ที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนยังสวนทางกับปี 2024 ที่ VC ในภูมิภาคเคยตกลงไปถึงจุดต่ำสุดในรอบสิบปี แสดงว่าตลาดกำลังฟื้น และนักลงทุนกลับมาเชื่อมั่นในศักยภาพของเอเชียอีกครั้ง

แม้ปีนี้จะยังไม่มีชื่อบริษัทจากไทยติดอยู่ในลิสต์ Forbes Asia 100 To Watch แต่สิ่งที่รายงานนี้สะท้อนคือบทเรียนสำคัญสำหรับเราอย่างยิ่ง เทรนด์ Deep Tech และ Biotech กำลังมาแรงทั่วภูมิภาค ไทยเองแม้จะยังไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่ก็มีจุดแข็งที่สามารถต่อยอดได้ ทั้งในด้านระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและการเป็นผู้นำใน Food Tech ที่เชื่อมโยงกับโจทย์ใหญ่ของความมั่นคงทางอาหารโลก

ในขณะเดียวกัน Green Tech กำลังถูกมองว่าเป็นเส้นทางอนาคต ประเทศที่ผลักดันเรื่อง EV พลังงานทดแทน หรือเทคโนโลยีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ย่อมมีโอกาสดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกมากขึ้น

อีกประเด็นที่เห็นชัดคือ บทเรียนจากอินเดีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่ยืนยันตรงกันว่า นโยบายคือหัวใจสำคัญ ประเทศที่มีการสนับสนุนสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จะสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงและกลายเป็นแม่เหล็กดูดทุนในที่สุด

และที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ AI กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของโลกธุรกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด หากไม่บูรณาการ AI เข้ามาในห่วงโซ่ย่อมเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะวันนี้ AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่คือ “ตัวเร่ง” ที่กำหนดความเร็วและทิศทางของการแข่งขัน

อ้างอิง: forbes, forbes

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะดีล Netflix เข้าซื้อ Warner Bros ทำไมถึงยอมจ่ายมากถึง 8.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำไมหลายคนไม่เห็นด้วย

นับเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการบันเทิงหนัง Netflix เจ้าตลาดสตรีมมิ่งประกาศเข้าซื้อกิจการ Warner Bros. ซึ่งนับรวมถึงสตูดิโอสร้างภาพยนตร์-โทรทัศน์ และธุรกิจสตรีมมิ่ง HBO Max และ HBO ด...

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...