Grab Holdings Inc. แพลตฟอร์ม Super App ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 ก่อนที่ Grab ร่วมกับ Altimeter Growth Corp. ยื่นหนังสือชี้ชวนต่อ กลต.สหรัฐ เพื่อควบรวมกิจการ SPAC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4/2564
Anthony Tan ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Grab กล่าวว่า “ในขณะที่เราเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทางบริษัทได้เผยแพร่ผลประกอบการประจำไตรมาสแรกให้รับทราบก่อน ซึ่งธุรกิจยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าของเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้ไว้วางใจ Grab และใช้งานแอปในหลากหลายวิธี เพื่อตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของพวกเขาในทุก ๆ วัน เรารู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ดังที่เห็นในบริการฝากซื้อสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าสะดวกซื้อ รวมไปถึงบริการทางการเงิน”
ขณะที่ Peter Oey ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Grab กล่าวเสริมว่า “เราได้บรรลุเป้าหมายสำหรับรายได้ และ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของไตรมาสแรก ปี 2564 นับว่าเป็นทิศทางการเติบโตที่แข็งแกร่ง”
รายได้ หรือ ยอดขายสุทธิ (Adjusted Net Sales) ของ Grab ในไตรมาสที่ 1/2564 อยู่ที่ 507 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 39% จากปีที่ผ่านมา ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การบันทึกรายได้รวมทางบัญชีตามมาตรฐาน IFRS แล้วจะอยู่ที่ 216 ล้านดอลลาร์
โดยบริษัทได้รับอานิสงส์มาจากการขนส่งเดลิเวอรี่ (Deliveries GMV) ที่ปรับตัวขึ้น 49% เป็นการฟื้นตัวจากมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการจำกัดอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลักดันให้ GMV รวมเติบโตขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะระดับ 3.6 พันล้านดอลลาร์
ด้านจำนวนผู้ใช้ที่ทำธุรกรรมรายเดือน (Monthly Transacting Users - MTU) ในไตรมาสที่ 1/2564 เติบโตขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงการผนึกกำลังอย่างแข็งแกร่งระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ดำเนินการรวมเป็นซุปเปอร์แอปของ Grab
ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 1/2564 นี้ EBITDA ของบริษัทแม้ว่ายังคงขาดทุนอยู่ที่ 111 ล้านดอลลาร์ แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดีจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ ขาดทุนอยู่ที่ 344 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นในปีนี้ EBITDA ของ Grab ปรับตัวเพิ่มขึ้น 233 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเติบโตขึ้น 68%
อย่างไรก็ตามเมื่อมาดูตรงบรรทัดสุดท้ายอย่างผลกำไรขาดทุน ปรากฎว่า Grab ยังคงมีผลขาดทุนสุทธิ (Net Loss) ในไตรมาสที่ 2564 อยู่ที่ 652 ล้านดอลลาร์ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15% ที่มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 771 ล้านดอลลาร์
Euromonitor บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลก ได้ทำการวิจัยเพื่อหาโอกาสทางการตลาดของ Grab ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในแต่ละหมวดหมู่ของบริการ โดย Grab ได้ให้บริการหลัก 3 ประเภท ได้แก่ 1. บริการจัดส่งพัสดุและสั่งอาหาร 2. บริการเรียกรถโดยสาร 3. บริการทางการเงิน
จากการวิเคราะห์ของ Euromonitor ระบุว่า Grab นั้นเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในส่วนของ GMV ในบริการจัดส่งพัสดุและสั่งอาหาร และในด้านของปริมาณการใช้จ่ายเงินผ่านแพลตฟอร์ม (Total Payment Volume) ที่เกิดขึ้นจากบริการทางการเงิน
เนื่องจาก Grab เป็นผู้นำตลาดทั้งในด้านของการขยายธุรกิจและในแต่ละหมวดหมู่ของบริการทั้งหมดในบริษัท จึงยังทำให้ Grab นั้นอยู่ในตำแหน่งที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่ามูลค่าธุรกิจแกนหลักทั้งบริการขนส่งอาหารและพัสดุ บริการเรียกรถโดยสาร และบริการทางการเงินของ Grab จะเติบโตสู่ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2568 จากเดิมราว 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
Brad Gerstner ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Altimeter Capital บริษัท SPAC ที่ได้ร่วมตกลงควบรวมกิจการกับ Grab กล่าวว่า “เรารู้สึกพึงพอใจกับผลการดำเนินงาน การเติบโตของธุรกิจ รวมไปถึงรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายและยืดหยุ่นของ Grab ในไตรมาสที่ 1 ทางบริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุน Grab ในฐานะหุ้นส่วนระยะยาว และสำหรับการก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชน เพื่อที่ว่า Grab จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าหลายล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปในระยะยาว”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด