InVent รุกลงทุน Tech startup ใน Datafarm และ Swift Dynamics ต่อยอดเทคโนโลยี Cybersecurity และ IoT | Techsauce

InVent รุกลงทุน Tech startup ใน Datafarm และ Swift Dynamics ต่อยอดเทคโนโลยี Cybersecurity และ IoT

InVent โครงการธุรกิจร่วมลงทุนภายใต้บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ร่วมลงทุนในเทคสตาร์อัพ (Tech startup) 2 บริษัท คือ ดาต้าฟาร์ม (Datafarm) ผู้พัฒนาเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ในรอบ Series A และ Swift Dynamics ผู้ให้บริการซอฟท์แวร์และคำปรึกษาด้านการก่อสร้าง ซ่อมบำรุงอาคาร สิ่งก่อสร้างผ่านระบบคลาวด์และเทคโนโลยีไอโอที (Internet of Things (IoT)) ในรอบ Pre-Series A

ดร.ณรงค์พนธ์ บุญทรงไพศาล หัวหน้าโครงการบริษัทร่วมทุนอินเว้นท์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นับเป็นโอกาสที่ดีของอินเว้นท์ที่ได้ร่วมลงทุนกับดาต้าฟาร์ม และสวิฟท์ ไดนามิคส์ ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างเป็นสตาร์ทอัพแถวหน้าของประเทศไทยในอุตสาหกรรม Cybersecurity และ IoT โดยเทคโนโลยีของทั้งดาต้าฟาร์ม  และสวิฟท์ ไดนามิคส์สามารถช่วยยกระดับบริษัทคู่ค้าในการก้าวเข้าสู่ยุค 5G ที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทำให้ Cybersecurity มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อลูกค้าองค์กรในการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้บริการและป้องกันความเสี่ยงธุรกิจ ในขณะที่ IoT ถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการเก็บข้อมูลพารามิเตอร์ของอุปกรณ์ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Smart City Smart Home และ Smart Manufacturing พร้อมประมวลผลและแจ้งเตือนผู้ใช้งานแบบเรียลไทม์”

“ปัจจุบันองค์กรมีการปรับเปลี่ยนการทำงานจากที่บ้านเพิ่มมากขึ้น ผู้ใช้งานมีการเชื่อมต่อไฟร์วอลล์ขององค์กรจากภายนอกส่งผลให้องค์กรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกต้องเผชิญกับปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นโซลูชันของดาต้าฟาร์ม สามารถช่วยองค์กรลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรควบคู่กัน ในส่วนของสวิฟท์ ไดนามิคส์ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการการก่อสร้าง ซ่อมบำรุงอาคารและสิ่งก่อสร้างในรูปแบบใหม่โดยนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ที่อยู่บนคลาวด์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การใช้ทรัพยากรของลูกค้าองค์กร รวมทั้งยังเป็นการช่วยให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็น Smart City ได้อีกด้วย”

Datafarm ผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับองค์กร

ดาต้าฟาร์ม  สตาร์ทอัพไทยที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 ให้บริการทดสอบเจาะระบบ และบริการตรวจสอบเทคโนโลยีสารสนเทศแก่ลูกค้าองค์กรด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ มีใบรับรองระดับมืออาชีพโดยให้บริการใน 3 ส่วน ได้แก่

  • Penetration Testing (Pentest) –ทดสอบเจาะระบบเพื่อค้นหาช่องโหว่หรือจุดอ่อนของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจเป็นช่องทางที่ Hacker ใช้เพื่อโจมตี เข้าถึงหรือแก้ไขข้อมูลสำคัญขององค์กร โดยทีมผู้ทดสอบที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในการจำลองการโจมตีและวิธีการจัดการตามมาตรฐานระดับสากล
  • Vulnerability Assessment (VA) – การตรวจหาช่องโหว่ที่เป็นจุดอ่อนด้านเทคนิคอล เช่น การใช้ซอฟต์แวร์ที่มีช่องโหว่ การเปิดใช้งานเซอร์วิสที่เกินกว่าความจำเป็น และการตั้งค่าการใช้งานที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น โดยการทำ VA จะใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทางในการสแกนระบบเป้าหมายเพื่อตรวจหาช่องโหว่ โดยไม่ได้มีการโจมตีระบบจริงโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะครอบคลุมเฉพาะช่องโหว่ในระบบคอมพิวเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย
  • Cybersecurity Consulting – บริการให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัลและภัยคุกคามในปัจจุบัน โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เช่น NIST Cybersecurity Framework, ISO/IEC 27001, PCI-DSS, PDPA/GDPR

คุณพิสุทธิศักดิ์ จงบุญเจือ ประธานบริหารบริษัท ดาต้าฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า “การลงทุนจากอินเว้นท์ในครั้งนี้ช่วยสนับสนุนให้บริษัทเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity ซึ่งคนไทยเรามีความสามารถทางด้านนี้ไม่แพ้ต่างชาติ และสร้างนวัตกรรมหรือเครื่องมืออัตโนมัติที่ช่วยในการตรวจหาช่องโหว่และประเมินความเสี่ยงของระบบ สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) รวมไปถึงกลุ่ม Startup และหน่วยงานราชการต่าง ๆ โดยเน้นที่ความง่ายในการใช้งาน มีราคาที่เหมาะสม จับต้องได้ และสามารถนำไปอ้างอิงให้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ ได้ ซึ่งจะเปิดตัวภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้เรายังได้รับความร่วมมืออย่างดีมากจากทาง AIS ในการเป็น Partner สำหรับทำให้บริการต่าง ๆ ทางด้าน Cybersecurity ของเรา สามารถไปถึงองค์กรในประเทศไทยได้วงกว้างมากขึ้น

จากการสนับสนุนทางด้านเงินทุนและความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทในเครือของ อินทัช และความตื่นตัวของตลาด Cybersecurity ที่เพิ่มมากขึ้น บริษัทคาดการณ์การเติบโตของรายได้ในอีก 3-5 ปี ข้างหน้าไว้ที่ 300% และขยายบริการในการเป็นที่ปรึกษาทางด้าน Cybersecurity อย่างครบวงจรให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันและยกระดับความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ในภาพรวมของทั้งประเทศ”  

Swift Dynamics ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และคำปรึกษาด้านการก่อสร้างและซ่อมบำรุงผ่านเทคโนโลยี IoT

Internet of Things (IoT) และ 5G เป็นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนให้งานก่อสร้างพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สวิฟท์ ไดนามิคส์เป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มบริหารจัดการงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงอาคารด้วยเทคโนโลยี IoT ที่บริษัทพัฒนาและเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายที่หลากหลาย เช่น WiFi, NB-IoT และ 4G / 5G โดยบริการของ สวิฟท์ ไดนามิคส์สามารถเชื่อมต่อ API เพื่อรองรับซอฟต์แวร์ของผู้ให้บริการอื่น ๆ (3rd party) และสามารถขยายการใช้งานไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบ ทั้งสำนักงาน อาคาร และโรงงาน สวิฟท์ ไดนามิคส์ให้บริการแพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ Sitearound เพื่อยกระดับงานก่อสร้างตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำให้เป็นระบบดิจิทัล และแพลตฟอร์ม Sentenance สำหรับระบบบริหารอาคารและซ่อมบำรุงด้วยโซลูชันด้าน IoT 

การใช้เทคโนโลยี 5G ที่รองรับการเชื่อมต่อแบนด์วิธความถี่สูง (high bandwidth) ทำให้วิศวกรภาคสนาม และช่างซ่อมบำรุงสามารถสื่อสารกับสำนักงานใหญ่ได้อย่างไม่สะดุด ผ่าน Sitearound และ Sentenance และสามารถถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในเวลาที่น้อยลงซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มผลกำไรให้กับองค์กรได้

ดร. นที สิงหพุทธางกูร ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท สวิฟท์ ไดนามิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า “สวิฟท์ ไดนามิคส์เป็นหนึ่งในบริษัทเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่โซลูชันมี IoT เป็นจุดเด่น โดยสวิฟท์ ไดนามิคส์มี 2 โซลูชันหลักซึ่งนำ IoT บนเครือข่าย 5G มาเป็นส่วนประกอบสำคัญได้แก่  Sitearound ซึ่งใช้ในการบริหารโครงการก่อสร้าง และโซลูชันที่สองชื่อว่า Sentenance ที่ใช้ในการช่วยบำรุงรักษาอาคารและโรงงาน ซึ่งในปัจจุบัน Sitearound และ Sentenance ได้ถูกนำไปใช้โดยบริษัทชั้นนำของประเทศไทยจากหลากหลายอุตสาหกรรม และเป้าหมายถัดไปของเราคือการนำ AI มาเสริมเพื่อให้การทำงานของทั้ง 2 โซลูชันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งงานบริหารจัดการโครงการ กระบวนการผลิต และงานซ่อมบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (predictive maintenance) โดยสวิฟท์ ไดนามิคส์ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาและใช้งาน IoT เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและทำให้ชีวิตของทุกคนง่ายขึ้น”

คุณนิกม์ เจริญสวัสดิ์ ประธานบริหารด้านเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท สวิฟท์ ไดนามิคส์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ในอีก 5 ปีข้างหน้า สวิฟท์ ไดนามิคส์มีแผนที่จะขยายธุรกิจทั้ง Sitearound และ Sentenance ไปยังต่างประเทศ ซึ่งในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะมีการติดตั้งอุปกรณ์ IoT กว่า 21.5 พันล้านชิ้นทั่วโลก ก่อให้เกิดรายได้กว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทตั้งเป้าผลักดันให้ Sitearound และ Sentenance ให้เป็นแพลตฟอร์มระดับสากล”

อินทัช เชื่อมั่นว่าการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้งานบนเครือข่าย 5G จะเป็นประโยชน์กับคนในสังคมยุคดิจิทัล และการใช้งานเพื่อการพาณิชย์ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในอนาคต 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

IMD จัดอันดับ Digital Competitiveness ปีนี้ ไทยร่วงจาก 35 เป็น 37 ถ้าอยากขยับขึ้น...ต้องแก้ไขตรงไหนก่อน?

ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ประจำปี 2567 โดย IMD World Competitiveness Center ไทยได้อันดับ 37 ขยับลงจากปีก่อน 2 อันดับ (35) แล้วจะทำอย่างไรให้ไทยได้อยู่ในอัน...

Responsive image

สู่ Siri ยุคใหม่ ! เผย Apple เตรียมเปิดตัว LLM Siri ในปี 2026 ท้าแข่ง ChatGPT โดยเฉพาะ

OpenAI ถือเป็นหนึ่งในบิ๊กเทคฯ ยักษ์ใหญ่ที่มีความก้าวกระโดดด้านการพัฒนา AI หลังจากสร้างกระแสด้วยแชทบอท ChatGPT ไปเมื่อปลายปี 2022 ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็เพิ่งมีดีลกับ Apple ในการนำ Cha...

Responsive image

American Airlines เปิดตัวระบบจัดการคิวอัจฉริยะ เทคโนโลยีเสียงเตือนสองระดับ ปิดเกมสายแซงคิวขึ้นเครื่อง

เคยเจอไหม? คนแซงคิวขึ้นเครื่องจนวุ่นวายที่ประตูทางขึ้น หลังจากนี้จะไม่มีอีกต่อไป เมื่อ American Airlines แก้ปัญหานี้ด้วยเทคโนโลยีเสียงเตือนอัจฉริยะ ที่จะจับทุกความพยายามแอบขึ้นเครื...