ศูนย์วิจัยกรุงศรี คาดอัตราการติดเชื้อโควิดระลอกล่าสุดในไทยถึงจุดสูงสุดเดือนสิงหาคม worst case อาจทะลุ 2 หมื่นรายต่อวัน | Techsauce

ศูนย์วิจัยกรุงศรี คาดอัตราการติดเชื้อโควิดระลอกล่าสุดในไทยถึงจุดสูงสุดเดือนสิงหาคม worst case อาจทะลุ 2 หมื่นรายต่อวัน

ศูนย์วิจัยกรุงศรี คาดอัตราการติดเชื้อโควิดระลอกล่าสุดในไทย จะถึงจุดสูงสุด เดือนสิงหาคม กรณีเลวร้ายที่สุด (worst case) อาจทะลุ 20,000 รายต่อวัน และจะลดต่ำกว่า 1,000  รายต่อวันในเดือนพฤศจิกายน พร้อมปรับลดประมาณการณ์ GDP ปี 2564 ไทยเหลือ  1.2%

ศูนย์วิจัยกรุงศรี

จากอัตราการแพร่เชื้อในปัจจุบัน แบบจำลองแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากการระบาดระลอกล่าสุด โดยจะมีอัตราการติดเชื้อสูงสุดในเดือนสิงหาคม ใน base case ยอดผู้ติดเชื้อจะอยู่ราว 15,000 รายต่อวัน 

จากการคาดการณ์สถานการณ์ที่แย่ที่สุดในระลอกก่อน ได้กลายมาเป็นสถานการณ์พื้นฐานในระลอกปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 10,000 รายต่อวันตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม และที่สำคัญคือ ไวรัสสายพันธุ์เดลตากำลังระบาดหนักและแพร่กระจายไปยังหลายจังหวัด การคาดการณ์ล่าสุดจึงระบุว่า ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาและเบตา

ทั้งนี้ใน base case คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะลดลงต่ำกว่า 1,000 รายต่อวันภายในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ หากแต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ที่วัคซีนจะมีประสิทธิภาพน้อยลง และการล็อกดาวน์ในเดือนกรกฎาคมไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็อาจเพิ่มขึ้นสูงเกิน 20,000 ราย และระยะเวลาการล็อกดาวน์ก็จะนานขึ้นด้วย

เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในไทยมักเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ร้ายแรง อีกทั้งไทยยังมีเรื่องที่น่ากังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนและการเข้าถึงวัคซีนที่ล่าช้า แสดงให้เห็นว่ามาตรการล็อกดาวน์อาจยืดระยะเวลาไปจนถึงเดือนตุลาคม

ดังนั้นประสิทธิภาพของวัคซีนจึงยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะลดจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวันได้

แม้ระลอกที่ 3 จะรุนแรงที่สุด แต่มาตรการล็อกดาวน์ในเดือนกรกฎาคมนี้ก็เข้มงวดน้อยกว่าปีที่แล้ว

ระลอกที่สามซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นระลอกที่รุนแรงที่สุดของไทย ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พุ่งสูงถึง 10,000 รายต่อวัน สิ่งนี้กระตุ้นให้รัฐบาลกำหนดมาตรการกักกันที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้มีการล็อกดาวน์ (บางส่วน) เป็นเวลา 14 วันในเดือนกรกฎาคม

ดัชนีความเข้มงวดของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดเปิดเผยว่า การล็อกดาวน์ในปัจจุบันนั้นเข้มงวดเพียง 81% เช่นเดียวกับในเดือนเมษายนปี 2563 นอกจากนี้ ดัชนีความคล่องตัวของ Google ได้แสดงให้เห็นถึงความแออัดของการจราจรในสถานที่ทำงาน ร้านค้าปลีก และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่ 81.1 (ฐานก่อนเกิดโรคระบาด = 100) และดัชนี Apple Mobility แสดงให้เห็นถึงสภาพการจราจรที่ติดขัดอยู่ที่ 43.4 (ฐานก่อนเกิดโรคระบาด = 100) ซึ่งหมายความว่าตัวบ่งชี้การเคลื่อนไหวล่าสุดนั้นสูงกว่าช่วงปิดเมืองทั้งหมด 14% ในเดือนเมษายนปี 2563 สำหรับสถานที่ทำงานและร้านค้าปลีก และเพิ่มขึ้น 40% สำหรับการจราจร

นอกจากนี้ คาดว่าการล็อกดาวน์ในเดือนกรกฎาคมนี้จะมีผล 70% เท่ากับการล็อกดาวน์ในเดือนเมษายนปี 2563 โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 คน/วัน ภายในต้นเดือนสิงหาคม และคาดว่าประเทศไทยจะจัดสรรวัคซีนจำนวน 250,000 โดสต่อวันให้กับประชาชน โดยจะฉีดวัคซีนทั้งหมดให้ครบ 55 ล้านโดสภายในสิ้นปี ซึ่งอาจช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันได้ โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป

ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือ 1.2% สะท้อนถึงการระบาดหนักของโควิด-19 ในไทย

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งล่าสุด ส่งผลให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างใหญ่หลวงมากกว่าการได้กำไรจากการสนับสนุนนโยบายที่จำกัดการส่งออกที่เข้มงวด โดยผลกระทบสุทธิต่อการเติบโตของ GDP ของไทยจะอยู่ที่ลบ 0.8 ทำให้การคาดการณ์อัตราการเติบโตของทั้งปีนี้อยู่แค่ 1.2% เท่านั้น ซึ่งเพิ่มจากการคาดการณ์ครั้งก่อนหน้านี้ 2.0% ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในไตรมาสที่ 3 จากการแพร่ระบาดที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการบริโภคของภาคเอกชนในปี 2564 ทว่าเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของการส่งออก ทำให้เรามองเห็นการฟื้นตัวรูปตัว K แบบเป็นรูปเป็นร่างขึ้น                                                                                                                   

การแพร่ระบาดที่รุนแรงและยาวนานเกิดคาดในไทย ประกอบกับสายพันธุ์เดลตาที่กำลังแพร่ระบาดในหลาย ๆ ประเทศ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2564 ลดลงเหลือ 210,000 คน (จาก 330,000 คน) และลดการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนลงเป็น +1.1% จาก +1.8% อย่างไรก็ตาม ได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของการส่งออกในปีนี้ (ตามข้อมูลของ ธปท.) เป็น +15% จาก +9.5% โดยการหมั่นส่งออกสินค้าจะช่วยบรรเทาผลกระทบบางส่วนต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนทางธุรกิจได้

ทั้งนี้ ธปท. ยังมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อบรรเทาสถานการณ์อันเลวร้ายด้วยการกระตุ้นที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น โดย ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ทั้งในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบาง และอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ในวงกว้าง

สำหรับนโยบายการเงินแบบกำหนดเป้าหมาย ความช่วยเหลือทางการเงินในปัจจุบันได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาก่อนเกิดการระบาดครั้งล่าสุด โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการกระตุ้นทางการเงินที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและเพื่อป้องกันการกระทบกับเศรษฐกิจในระยะยาว

อ่านวิจัยฉบับเต็มได้ที่ Krungsri



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

คุยนายกฯ พบแฟนเกม สูดหงส์ไทย สรุปภารกิจ Jensen Huang บุกไทยวันแรก

หลังจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการรายงานของ Bloomberg ที่เปิดเผยว่า Jensen Huang มีแผนเยือนประเทศไทยในช่วงเดือนธันวาคม 2024 ล่าสุดวันนี้ (3 ธันวาคม 2024) ซีอีโอของ NVIDIA รายนี้...

Responsive image

เจาะลึก Central ชิดลมโฉมใหม่ หลังทุ่ม 4,000 ล้าน รีโนเวทครั้งใหญ่ สู่ "The Store of Bangkok" เสริฟ์ความลักซูระดับโลก

ห้างเซ็นทรัลชิดลม (Central Chidlom) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล หนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่ครองใจนักช้อปชาวไทยและต่างชาติมาอย่างยาวนาน กำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ด้วยการทุ่มง...

Responsive image

Siriraj x MIT Hacking Medicine: จุดประกายนวัตกรรม เพื่อผู้สูงวัยในโลกยุคใหม่

Siriraj x MIT Hacking Medicine ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงาน Hackathon ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อยกระดับการดูแลผู้สูงอายุในประเทศกำลังพัฒนา...